พระอาจารย์
12/24 (561027B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
27 ตุลาคม 2556
(ช่วง 1)
(หมายเหตุ : แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความ)
พระอาจารย์ – ฝึกให้มาก อดทนกับตัวเองให้มาก
อดทนกับกิเลสของตัวเองให้มาก
อย่าปล่อยให้มันมีอำนาจ
จนกระชากความรู้สึกตัวออกไป จนกระชากออกจากศีลสมาธิปัญญาที่ตั้งอกตั้งใจจะทำออกไป
แพ้บ้าง-ชนะบ้าง ไม่มีปัญหา ...แต่อย่าปล่อยจนที่เรียกว่า ไม่พยายามเลย ...ไม่ใช่ว่ามันหลุด มันรั่ว
มันไหลตรงนั้น ก็ปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนั้นน่ะ
ทุกครั้งที่คุย...ก็หลุดทุกครั้งที่คุย...แล้วก็ปล่อยให้มันหลุดทุกครั้งที่คุยต่อ
ทุกครั้งที่กินข้าวก็ลืมตัว ทุกครั้งที่กินข้าวก็ไม่รู้ตัว...แล้วก็ปล่อยให้มันไม่รู้ตัวทุกครั้งที่กินข้าวอย่างนั้นน่ะ
อาบน้ำก็อาบกันทุกวัน ก็ยังลืมทุกวัน
ไม่รู้ตัวทุกวัน แล้วก็ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นน่ะ ...ไอ้อย่างเงี้ย ภาษาเราว่า..น่าตบโหลก ...มันต้องพัฒนาขึ้นสิ
ไอ้ที่ไหนมันรั่ว ไอ้ที่ไหนมันไม่มีสติ
ซ้ำซากๆ ก็ปล่อยให้มันไม่มีสติซ้ำซากๆ ...แล้วถามว่ามันจะพัฒนาขึ้นได้อย่างไร
มันจะมีกำลังของสติสมาธิปัญญาเพิ่มขึ้นได้อย่างไร
แต่มาฟังเราพูดทุกครั้ง
ก็อยากสำเร็จเร็วๆ ทุกครั้งน่ะ แต่ก็ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นทุกครั้ง ...มันจะสำเร็จได้ยังไง มันจะหลุดพ้นได้ยังไง มันจะเกิดมหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา
ได้ยังไง
คิดเอา เอาหัวแม่ตีนคิดเอา
ไม่ต้องเอาหัวคิดหรอก ...มันก็เห็นแล้วว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน ที่ไหนน่ะ ทำไมไม่แก้เล่า ทำไมไม่เติมลงไปเล่า ...ก็จุดบกพร่องมันอยู่ตรงนี้
ก็เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวันซ้ำซากน่ะ
ส่วนไอ้เวลาที่โกรธ เวลาที่มีอารมณ์กิเลสมันทะลุขึ้นมานี่
เออ ไอ้นี่มันยังยากหน่อย ไม่ว่ากันเท่าไหร่หรอก ยังไม่สมควรถูกด่าเท่าไหร่หรอก
แต่ไอ้กิจวัตรเนี่ย
ก็ปล่อยให้หลงซ้ำซาก ลืมซ้ำซาก สติขาด สติหายซ้ำซาก
ปล่อยให้มันใช้ชีวิตกันแบบเลื่อนๆ ลอยๆ
เคยชิน ไม่มีอะไรก็ไม่เห็นต้องรู้อะไร
ไม่เห็นต้องเข้มงวดในการที่จะต้องตั้งสติในการกิน
ไม่เห็นจะต้องเข้มงวดในการตั้งสติ ตั้งรู้ ตั้งเห็นในการอาบน้ำ
ในการนั่งขี้นั่งเยี่ยว ทุกวันน่ะ หือ
เคยที่จะรู้ตัวไหมขณะขี้น่ะ ขณะเบ่งน่ะ เคยรู้สึกถึงการเบ่งจริงๆ มั้ย เคยรู้สึกถึงการขี้แล้วกับก่อนขี้มั้ย …เคยรู้สึกถึงกายจริงๆ บ้างมั้ย
กลับเป็นความเคยชินที่ปล่อยให้มันล่วงผ่านล่วงเลยไปแบบ...ไม่มีอะไร
ไม่เห็นเป็นอะไร ไม่เห็นจะต้องรู้ทำไม ไม่เห็นจะต้องมีสติ ก็ไม่เห็นเป็นสุข
ก็ไม่เห็นเป็นทุกข์แล้วนี่ ...นี่เคยชิน
เห็นมั้ยว่าเวลาที่เจริญสติสมาธิปัญญามันก็มี...อย่ามาอ้างว่าไม่มีเวลา พอมีเวลาอย่างนี้ ก็ไม่มีสติ …กินก็มีเวลาเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไปกินบนหัวใคร
หรือใครมานั่งกินบนหัวเรา ใช่มั้ย
ขี้ก็ขี้คนเดียว ไม่ได้ขี้สองคน
มีใครมากวนมั้ย ...จะว่าไม่มีเวลารึไง พูดอยู่ได้ว่าไม่มีเวลา ...ไอ้เวลามีกลับไม่ดู
เวลามีกลับไม่มีสติ
“โอ้ย ทั้งวันผมไม่มีเวลาเลย
ต้องทำงาน” นั่น พูดมาได้ ...ทั้งสำนักงานทั้งที่ทำงาน มันมาขี้ในห้องส้วมเดียวกับมันรึไง อย่ามาอ้าง …กิเลสมันชอบอ้าง
แล้วมันก็กลืนกินเวลาไป ...เวลาที่ล่วงแล้วไปผ่านไป เอาคืนไม่ได้นะ ...กายที่หายไป ขาดไป เอาคืนไม่ได้
จะไปฟ้องร้องศาลปกครอง เอาคืนมาก็ไม่ได้ ขอความคุ้มครองก็ไม่ได้
เพราะนั้น ต้องทำให้ได้ ต้องมีสติขึ้นมาให้ได้ ต้องฝึก ต้องฝืน ต้องทวน...ความเคยชิน คือกิเลสโมหะอย่างนึง ...นี่ ถึงมันจะยาก
มันก็ไม่เกินกำลังหรอก
ยากน่ะรู้ว่ายาก ...แต่มันไม่เกินกำลัง...ของคน ของผู้ที่ใฝ่ดี ของผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ...ไม่มีข้อกำกับ
ไม่มีข้อขีดคั่นแต่ประการใด
มีแต่กิเลสน่ะมันเป็นตัวขวาง
มีแต่ความรู้สึกเคยชินน่ะมันเป็นตัวขวาง ... เพราะนั้นตัวที่ขวางมรรคผลและนิพพาน
ไม่ใช่ใคร ...“เรา” นั่นเอง เป็นสัคคาวรณ์ มัคคาวรณ์
อย่าไปบอกว่าคนต่างศาสนา คนไม่มีศาสนา
คนที่ปฏิบัติผิดปฏิบัติไม่ตรงนี่ เป็นตัวที่ปิดบังมรรคผลนิพพาน ...“เรา” นั่นแหละปิดบังมรรคผลนิพพานด้วยตัวเอง...มันไม่ทำเองน่ะ
ความรู้สึกที่เคยชิน ความรู้สึกต่างๆ
นานา ที่เป็นความรู้สึกของเรานั่นน่ะ มันเป็นตัวขวางมรรค ...ต้องก้าวให้ข้าม ต้องผ่านให้ได้...กับความเคยชิน
ทุกกระบวนการของกาย ทุกกิจกรรมของกาย ทุกพฤติกรรมของกาย ...จะต้องมีอาการเข้าไปรู้เข้าไปเห็นให้ได้ ...ไม่ขาดระยะ ไม่ขาดสายเลย
มันจะต้องเห็นกาย ต้องตรงต่อกายจริงๆ ...ใจรู้ใจเห็นนี่ มันจึงจะแจ้ง มันจึงจะทะลุ มันจึงจะปรุโปร่ง มันจึงจะแทงตลอด...โดยไม่สงสัยว่า
นี้คืออะไร นี้เป็นใคร นี้เป็นของใคร
ถ้าเรียกว่ากายนี่เป็นก้อน
ก็เรียกว่าสับจนเละอ่ะ จนทุกอณูเลยนั่นน่ะ มันถึงจะหายสงสัย ไม่ว่าไอ้นั่นก็ยังเป็นเรา ไอ้นี่ก็ยังเป็นเรา
ไอ้นั่นไม่เป็นเราแล้วไอ้นี่ยังเป็นเราอยู่ แน่ะ
ไม่ใช่ว่าพอกายเฉยๆ รู้สึกไม่เป็นเรา ...แต่พอกายมีความเมื่อยความปวด
รู้สึกเป็นเราอีกแล้ว แน่ะ ...มันตลอดมั้ยนี่ มันเข้าใจกายตลอดมั้ยนี่
เดินไปเดินมาก็รู้สึกว่าเป็นอะไรลอยๆ
ไม่มีเรา เป็นธาตุเป็นก้อน ...แต่อย่าได้เหยียบหนามหรือเตะเสี้ยนนะ...“เรา”
มาอีกแล้ว เอ้า ...แน่ะ มันตลอดมั้ยนี่
ทั้งๆ ที่ว่า เสี้ยนตำหนามตำ
หรือเตะตอ มันก็คือเนื่องด้วยกายทั้งนั้นน่ะ คือมันเป็นอาการที่เนื่องด้วยกายทั้งนั้น ...แต่พอมีอาการนี้ปึ้บนี่...เราเจ็บ เราหงุดหงิด เราไม่สบายใจ เรากลัวตาย..มาเลย
ไม่รู้มาจากไหน
นี่แปลว่าอะไร ...แปลว่ามันยังไม่แจ้ง
มันไปแจ้งในตอนที่มันไม่มีอะไร สบายๆ ธรรมดานี่แจ้ง โอ้ย ไม่มีเราเลย ดูดี ...แต่ให้นั่งสมาธิ อย่าลุก
สามชั่วโมง เดี๋ยวดูไม่ดีแล้ว
ไอ้ว่า “ไม่เป็นเราๆ”
ไอ้ตอนเริ่มนั่งเนี่ย สักครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องถึงสาม ...ถ้าจะให้ชัด
ขัดสมาธิสองชั้นเลย เรียกว่าสมาธิเพชร ไม่ถึงสิบห้านาที...“เรา” มาเป็นกระบิเลย “เราตายแน่ๆ” อย่างเนี้ย
มันพูดไว้ก่อนเลย
ไอ้ที่ว่าไม่มี ไม่มีเราน่ะ มายังไง ฮึ ...เห็นมั้ย
มันยังทับถมอยู่ภายในอีกมากนะ ...แล้วเอาเวลาไปทำอะไรกันอยู่
เวลาที่จะถอดถอน เวลาที่จะละเลิก เวลาที่จะเข้าไปเห็นสภาพความเป็นจริงนี่ ...มันกลับปล่อยให้ไปสนุกเพลิดเพลินกับเรื่องราวต่างๆ นานา ที่ผ่านทางหูทางตา
ผ่านทางอดีตอนาคต จากการคิดและจำ
เห็นมั้ยว่ากิเลสที่มันยังทับถมนอนเนื่องอยู่ภายในนี่
มันกลืนกินจนไม่รู้จะละออกตอนไหนเลย ...ดูเหมือนไม่มีๆ แต่สักพักก็...มีอีกแระ ดูเหมือนไม่มีๆ ...มาอีกแระ
เห็นมั้ยว่ามันประมาทไม่ได้ ...ถ้าไม่ได้เข้าถึงหัวมัน
ตีจนตายนี่ ยังไว้ใจไม่ได้ ยังประมาทไม่ได้ ...ต้องเข้มงวดในศีล ในสติ
ต้องเข้มงวดในสมาธิ แบบไม่ละไม่วางเลย
อย่างอื่นละวางหมด ...แต่ไม่ละวางอย่างเดียวคือศีลสมาธิปัญญา ปัจจุบันกายปัจจุบันรู้นี่แหละ ...อย่าไปอยู่ในอารมณ์
อย่าไปอยู่กับแค่อารมณ์ ว่างบ้าง เบาบ้าง ไม่มีอะไรบ้าง สุขบ้าง สบายบ้าง ลอยบ้าง
ต้องอยู่ในรู้ ต้องอยู่กับรู้
ต้องอยู่ในกาย ต้องอยู่กับกาย ที่มันแสดงอาการทุกขณะอาการ ทุกขณะความรู้สึกของกาย...จริงๆ ต้องอยู่กับมันจริงๆ ต้องเห็นกับมันจริงๆ ต้องรู้กับมันจริงๆ...ตลอด
อย่าไปอยู่ในอารมณ์
ไม่ว่าอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ไม่ว่าจะสงบ จะว่าง จะเบา จะสบาย ไม่ว่าจะมีอะไรหรือไม่มีอะไร อย่าไปอยู่ในอารมณ์ …อยู่ในอารมณ์แล้วไม่มีกาย ไม่มีความเป็นจริง
ไม่มีขันธ์
รู้จักขันมั้ย ขันที่ไว้ตักน้ำ ... กายนี่...เหมือนขันน้ำนี่ แล้วไอ้น้ำในขันนี่เขาเรียกว่านาม...นามขันธ์
เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นั่นคือน้ำในขันธ์ ...อารมณ์ก็คือนาม
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าอารมณ์น่ะมันอยู่ในขันธ์
หา แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นน้ำในขันหรือน้ำนอกขัน รู้ยังไง ...มันต้องถือขันไว้
แล้วก็ดูอยู่ตอนที่มันถือขันอยู่ มันถึงจะเห็นว่าน้ำนี่เป็นน้ำในขัน
ไม่ใช่น้ำนอกขัน
ถ้ามันไม่มีขัน ถ้าไม่ถือขันไว้น่ะ มันอาจจะเป็นน้ำในแก้ว หรือน้ำที่มันลอยอยู่ในอากาศ
หรือน้ำที่มันเจิ่งนองอยู่บนถนน ...ก็น้ำเหมือนกันน่ะ แต่มันเป็นน้ำนอกขัน
เข้าใจมั้ย คำว่าอารมณ์...ถ้ามีแต่อารมณ์ลอยๆ
น่ะ มันจะเป็นอะไรที่มันนอกขันธ์ ไม่ใช่เรื่องในขันธ์
เพราะนั้นมันจะเป็นเรื่องในขันธ์ต้องมีกาย
ต้องถือกาย...ถือขันไว้ ต้องมีสติที่เข้าไประลึก แล้วก็ถือขัน...คือรู้อยู่เห็นอยู่ในกาย
มันจึงจะไม่เรียกว่าออกนอกขัน
มันจึงจะไม่เรียกว่าหลงออกนอกขันธ์ มันจึงจะไม่เรียกว่าไปหาความเป็นจริงนอกขันธ์
มันจึงจะไม่เรียกว่าไปหาความเป็นจริงนอกมรรค
เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็เปรียบขันธ์น่ะเป็นกองเหมือนกัน
ท่านเรียกว่าขันธ์ แต่ว่าขันธ์ในความหมายของพระพุทธเจ้า ท่านมี ธ.ธง แล้วก็การันต์ ...คือแปลโดยตามตรงตามภาษาก็แปลว่า กอง มีห้ากอง
การรวมกันเป็นมนุษย์นี่ มันมีอยู่ ๕
ลักษณะรวมกัน ประชุมกัน ...แต่ที่สำคัญในความเป็นคนคือ
มันจะต้องมีกายเป็นที่รองรับของขันธ์ทั้ง ๔ ที่เป็นนาม
ถ้าไม่มีกาย...จะไม่เป็นคน
ถ้าไม่มีกาย...จะไม่เรียกว่าขันธ์ ๕ ....เราถึงบอกว่าอย่าไปอยู่กับอารมณ์ลอยๆ เพราะมันออกนอกขันธ์
อาจจะดูดี อาจจะดูวิเศษ อาจจะดูเลิศเลอ
อาจจะดีอย่างที่คนอื่นเขาบอกว่าดี ...แต่มันเป็นความดีนอกขันธ์
มันเป็นความเป็นไปนอกขันธ์ มันเป็นความเป็นจริงที่ออกนอกขันธ์ ...ซึ่งไม่จริง
ถึงมันจะจริงตามภาษา
ถึงมันจะจริงตามที่คนอื่นเขาว่า ถึงมันจะจริงอย่างที่คนอื่นเขาอยากให้เห็น แต่พระพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่จริง ...พระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นความเป็นจริง...ในขันธ์ใครขันธ์มัน
(ต่อแทร็ก 12/24 ช่วง 2)