พระอาจารย์
12/28 (561111C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน
2556
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 12/28 ช่วง 1
แต่ในขันธ์นี่ ถ้าตั้งมั่นเป็นกลาง
รู้มัน ดูมัน ...ไม่มีอะไรไม่จบ ไม่มีอะไรไม่ดับในตัวของมันเอง
จากที่มันอยู่เป็นนาน อยู่เป็นเดือน
อยู่เป็นวัน อยู่เป็นช่วงเวลา ...ต่อไปนี่ทุกอย่างดับในขณะปัจจุบันหมด ไม่มีอะไร ...ชีวิตมีแค่หนึ่งขณะปัจจุบัน ขันธ์มีแค่หนึ่งปัจจุบันขณะ
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าชีวิตนี้สั้นนัก
คือมีแค่หนึ่งปัจจุบัน...ดับแล้วดับเลย ...ถ้าหมดปัจจยาการแห่งกรรมวิบาก...ดับแล้วดับเลย
แต่ถ้ายังมีปัจจยาการแห่งกรรมและวิบาก มันก็มีการเกิดต่อ...เป็นขณะๆ ไป
โยม – อย่างถ้าในตัวกรรมและวิบากยังไม่สิ้น หมายถึงว่าในช่วงเสวยอยู่ มันก็จะเห็นเป็นแค่ขณะๆ เท่านั้น มันก็เหมือนกับมันไม่จำเป็นต้องไปเข้าใจหรือควบคุมอะไรทั้งสิ้น
พระอาจารย์ – ไม่มีการควบคุม ไม่มีการบังคับ ไม่มีการเอาชนะ
ไม่มีอะไรเลย ...ปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามสภาพ แล้วก็ไม่ไปหมายมั่นในแต่ละสภาพ ทั้งที่ดับไปแล้ว
ทั้งที่ยังไม่เกิด ทั้งที่ยังกำลังตั้งอยู่ แค่นั้นเอง
เพราะไอ้ตัวหมายมั่นนั้นน่ะคือตัวเจตนา คือเรา...เจตนาคือเรา ...ถ้าไม่มีเรา มันจะไม่มีเจตนา
ก็ให้เห็น ...ตราบใดที่มันยังมีอวิชชา
มันจะมีเจตนาอยู่ตลอด ก็ดูไปรู้ไป ...ถ้ามันไม่เข้าไปให้ค่าในเจตนา นั่นแหละ มันก็จะมีความเสื่อมถอยลงของเจตนา
เหมือนกับไม่เข้าไปถือหาง
ไม่เข้าไปให้กำลัง ไม่เข้าไปก่อ หรือไม่เข้าไปโอบอุ้มน่ะ ...อำนาจของอวิชชามันก็จะเสื่อมในตัวของมันเองไป
โยม – ตัวอำนาจของอวิชชาตัวนี้
ก็คือตัวรู้นั่นเองใช่ไหมคะที่ห่อหุ้มอยู่ การที่เขาจะเข้าไปเห็นธรรม
พระอาจารย์ – คือมันจะต้องถอนตัวนอกออกก่อน ...มันถึงจะเข้าไปถึงอวิชชาตัวใน
ถ้ายังไปมุ่งเอาตรงที่เข้าใจว่า "รู้" เป็นตัวอวิชชา แล้วก็ไปตรงนั้น...ไม่ได้ ...มันจะต้องถอดถอนๆ ในกองขันธ์ ในกองโลกไปเรื่อยๆ
โยม – พระอาจารย์คะ แต่ตามความเข้าใจมันเหมือนกับมันเป็นของคู่กัน
ใช่ไหมคะ คือมันเป็นตัวคู่กันอยู่ แต่เราไม่ได้ไปบอกว่าตัวใดตัวหนึ่ง ใช่ไหมคะ
พระอาจารย์ – ตราบใดที่ยังเป็นของคู่น่ะ นั่นแหละ
ยังมีที่หมาย ...คือหมายความว่ายังมีที่หมายให้มันเกิดอยู่
จนกว่ามันจะเหลือเป็นสิ่งหนึ่งๆ จริงๆ
คือเรียกว่าจิตหนึ่ง จิตเอก ...นั่นแหละมันจึงจะเรียกว่าหมด
หมดขันธ์ หมดที่อยู่ที่อาศัยของอวิชชาในภายนอก
นั่นถึงจะเรียกว่าเข้าสู่สภาวะจิตเอก ...อวิชชามันก็จะรวมอยู่ที่เดียว สามโลกธาตุก็จะเหลือแต่ใจกับอวิชชาอยู่คู่กัน ...อยู่ที่เดียวกันด้วย
ไม่ใช่อยู่คู่กัน
โยม – เคยได้ยินที่บอกว่า
โดยตัวญาณเท่านั้นจึงจะเข้าไปสำรอกในตัว ใช้คำว่าในตัวของจิตใต้สำนึกใช่ไหมคะ
ตรงนี้มันเหมือนกับว่าจริงๆ ในตัวจิตใต้สำนึกนี่
มันต้องผ่านไอ้ตัวญาณที่เป็นกลางตัวนี้ จนมันเข้าไปเห็นเองล้างเอง
แล้วมันจึงจะเข้าใจในตัวของมันเองใช่ไหมคะ
พระอาจารย์ – อือ มันก็ไปลบล้างหมดน่ะ
โยม – แต่จริงๆ ตรงนี้เขาก็จะเข้าใจของเขาได้ขณะหนึ่งๆ
พระอาจารย์ – เป็นเรื่องที่มันทำงานของมันไปเอง
ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปรู้ในระบบการทำงานของมัน ...หน้าที่ของเราคือทำยังไงให้ญาณมันเกิด
แค่นั้นเอง
แล้วเมื่อญาณเกิดแล้วนี่ หรือว่าปัญญาญาณมันมีแล้วนี่ ...ปัญญาญาณเขาทำงานของเขาเอง เขาเป็นระบบทำงานที่...คือมันเป็นธรรมที่ตรงข้ามกับกิเลสโดยตรงอยู่แล้ว
คือมันเป็น...เหมือนมันเป็นศัตรูในตัวของมันเองอยู่แล้ว
เพราะนั้นมันจะอยู่คู่กับกิเลสไม่ได้
ธรรมชาติของญาณ ธรรมชาติของปัญญาญาณนี่
มันเป็นความสว่าง
ซึ่งมันไม่สามารถจะทนอยู่ร่วมกัน หรือว่าความสว่างกับความมืดนี่มันจะอยู่ร่วมกัน...เป็นไปไม่ได้
เพราะนั้นมันเป็นธรรมที่หักล้างกันในตัวมันเลย ...ที่ไหนมันมีที่มืดที่มันไม่แจ้งอยู่ตรงไหนนี่
มันก็จะเข้าไปทำลาย ...เหมือนกับเข้าไปฉายความสว่างลงไปเพื่อให้เกิดความกระจ่างในตัวของมัน
นี่ไม่ใช่ว่าเราไปเรียก หรือว่าไปหา
หรือไปบอกว่าต้องทำอะไร หรือไม่ต้องทำอะไร ...เขาจะทำของเขา
คือหน้าที่จะต้องทำในองค์มรรคเจริญมรรค คือทำให้ญาณบังเกิดขึ้น
ทำให้ศีลบังเกิดขึ้น ทำให้สมาธิมันอยู่ต่อเนื่องขึ้น นี่คือหน้าที่ เท่านั้นเอง ...แล้วเมื่อมันทำหน้าที่นี้อยู่
ตัวศีลสมาธิปัญญาเขาก็ทำงาน
ซึ่งศีลสมาธิปัญญามันเป็นธรรมที่มันอยู่ตรงกันข้ามกับกิเลสโดยตรงอยู่แล้ว
อวิชชามันอยู่ร่วมกับศีลสมาธิปัญญาไม่ได้ ....ทีนี้มันก็เข้าไปหักล้างๆๆๆ หักล้างไป
เพราะนั้นการหักล้างนี่ มันก็ไม่รู้หรอก...อะไรหักล้างแล้วคืออะไร นี่เรียกว่าจิตใต้สำนึก
จิตเหนือสำนึกอะไร ...มันไม่สนหรอก
มันก็ทำหน้าที่หักล้างของมันไปเงียบๆ
ไปตามลำดับลำดา ตามกำลัง ตามภูมิปัญญา ตามภูมิของญาณนั้นไป...มาก-น้อยก็แล้วแต่
มันก็เข้าไปชำระไอ้สิ่งที่มันอยู่ในซอกหลืบของอวิชชาไป ...มือตีนของอวิชชามันก็ค่อยๆ หดหายไปเรื่อยๆ
โยม – เพราะฉะนั้นในลักษณะตรงนี้นี่
มันเหมือนกับว่าที่เดินตลอดในกระบวนการของเขานี่
ตัวนี้ภาษามันจะไม่ขึ้นมาเลยใช่ไหมคะ
พระอาจารย์ – มันเป็นตัวที่ลบบัญญัติสมมุติอยู่แล้ว ...เพราะบัญญัติสมมุตินี่คือความไม่จริง อะไรที่ไม่จริงน่ะ อะไรที่เป็นความไม่จริงมันก็ลบหมดน่ะ
โยม – ทีนี้นี่มันสามารถใส่ชื่อลงไปได้ไหมคะ
พระอาจารย์
พระอาจารย์ – ไม่ใส่หรอก
โยม – ตะกี้ที่พระอาจารย์บอกว่าถ้าสมมุติมันยังไม่หมดจดนี่
คำว่าบริสุทธิ์มันก็ยังมีอยู่ แต่ว่าตัวของมันเองนี่
มันก็เหมือนกับมันจะมีการเทียบเคียงในตัวของมันใช่ไหมคะ ขณะที่มันยังไม่ชำระสุดๆ
ของมัน
พระอาจารย์ – ก็มันก็ต้องมีอุทธัจจะ นี่คืออุทธัจจะ ...ก็บอกว่าพระอรหันต์ถึงชำระได้
โยม – อุทธัจจะในธรรม
พระอาจารย์ – ก็นั่นแหละ คือตัวที่มันมาบัญญัติธรรมนั่นแหละ
มันก็บัญญัติไปจนถึงวาระสุดท้ายของมันนั่นแหละ
โยม – แต่มันก็สลับกันตรงที่ว่าพอมันไม่มี
แล้วเดี๋ยวมันก็มีขึ้นมา
พระอาจารย์ – มันก็เกิดดับ ...จนถึงที่สุดแล้วมันก็ออกจากความเป็นอุทธัจจะในธรรม แล้วมันไม่สนหรอกว่าธรรมนี้จะมีชื่อหรือไม่มีชื่อ หรือว่าใช่หรือไม่ใช่ …แต่ในระหว่างทางมันก็มีไปเรื่อยๆ น่ะแหละ
โยม – ถ้าในลักษณะตรงนี้นี่ค่ะ
เมื่อประมาณสามสี่ปีก่อน ตอนที่ไปหาครูบาอาจารย์นี่
แล้วท่านพูดถึงว่าโลกุตรธรรมเก้าน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นในจริงๆ
ตรงนี้มันก็ผ่านในตัวของมันตลอดใช่ไหมคะ
พระอาจารย์ – ทั้งหมดมันเป็นแค่ภาษาหมดน่ะ
มันผ่านโดยที่มันไม่รู้หรอกว่ามันผ่านอะไรมาบ้าง มันไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย
และมันไม่สนใจจะรู้ด้วย
สิ่งที่มันรู้ก็คือ...สิ่งนั้นคือสิ่งที่มันต้องละ
มันไม่เก็บมาเป็นเสบียงกรังสะสมอะไรไว้เป็นความรู้เลย ...รู้อันไหนดับตรงนั้น
รู้ตรงไหนดับตรงนั้น
สิ่งไหนที่มันเป็นเครื่องรู้ขึ้นมานี่
ถ้ามันนอกเหนือจากความเป็นจริงในกองขันธ์นี่ ดับหมด ...แล้วก็...เท่าที่ขันธ์ที่มันปรากฏนั่นน่ะสิ่งที่มันต้องการ
ญาณที่เป็นวิสุทธิญาณจริงๆ
จะต้องเป็นจำเพาะขันธ์จริงๆ ...นอกเหนือจากขันธ์นี้ที่ปรากฏนี่ ...มันทิ้งหมดเลย
มันจะรู้อะไร
มีความรู้อะไรโดดเด่นขึ้นมา มีความรู้ความอะไรผุดโผล่ขึ้นมา ...มันทิ้งหมด ดับหมดๆๆ
มันเป็นของปลอมหมด ของปลอมปนในขันธ์หมด
อะไรที่มันปลอมปนเป็นมลทินน่ะ
มันคัดกรองหมด สำรอกออกหมดนั่นแหละ ...มันจะดำรงคงไว้แต่ขันธ์อันบริสุทธิ์
ไม่มีมลทิน ...เรียกว่าวิสุทธิขันธ์ เรียกว่าวิสุทธิธาตุ วิสุทธิธรรม
มันก็คงความบริสุทธิ์ของขันธ์จนบริสุทธิ์หมดจด ...แล้วนั่นน่ะมันจึงเรียกว่าทิ้งขันธ์โดยสิ้นเชิง
อวิชชามันจะทิ้งขันธ์เพราะขันธ์มีแต่ความบริสุทธิ์ ...ไม่มีที่ตั้งของเราที่เป็นผู้เกิดผู้ตาย
ไม่มีที่ตั้งของเราผู้เป็นสุขเป็นทุกข์ได้ในวิสุทธิขันธ์นี้
มันก็ถอยถอนออก...ก็เกิดอาการอวิชชามันทิ้งขันธ์ สำรอกขันธ์ออกมา ปลดปล่อยขันธ์เป็นอิสระ
...................................