วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/28 (2)


พระอาจารย์
12/28 (561111C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 12/28  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่ว่าถ้ามันออกไปรู้นอกขันธ์หรือว่ามีเรื่องให้รู้นอกขันธ์นี่ ...มันจะไม่จบ มันจะเกิดความสงสัยลังเล เกิดความต่อเนื่อง เกิดความปัจจยาการสืบต่อยืดยาว

แต่ในขันธ์นี่ ถ้าตั้งมั่นเป็นกลาง รู้มัน ดูมัน ...ไม่มีอะไรไม่จบ ไม่มีอะไรไม่ดับในตัวของมันเอง

จากที่มันอยู่เป็นนาน อยู่เป็นเดือน อยู่เป็นวัน อยู่เป็นช่วงเวลา ...ต่อไปนี่ทุกอย่างดับในขณะปัจจุบันหมด ไม่มีอะไร ...ชีวิตมีแค่หนึ่งขณะปัจจุบัน ขันธ์มีแค่หนึ่งปัจจุบันขณะ

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าชีวิตนี้สั้นนัก คือมีแค่หนึ่งปัจจุบัน...ดับแล้วดับเลย ...ถ้าหมดปัจจยาการแห่งกรรมวิบาก...ดับแล้วดับเลย

แต่ถ้ายังมีปัจจยาการแห่งกรรมและวิบาก มันก็มีการเกิดต่อ...เป็นขณะๆ ไป


โยม –  อย่างถ้าในตัวกรรมและวิบากยังไม่สิ้น หมายถึงว่าในช่วงเสวยอยู่  มันก็จะเห็นเป็นแค่ขณะๆ เท่านั้น  มันก็เหมือนกับมันไม่จำเป็นต้องไปเข้าใจหรือควบคุมอะไรทั้งสิ้น

พระอาจารย์ –  ไม่มีการควบคุม ไม่มีการบังคับ ไม่มีการเอาชนะ ไม่มีอะไรเลย ...ปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามสภาพ แล้วก็ไม่ไปหมายมั่นในแต่ละสภาพ ทั้งที่ดับไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่เกิด ทั้งที่ยังกำลังตั้งอยู่ แค่นั้นเอง 

เพราะไอ้ตัวหมายมั่นนั้นน่ะคือตัวเจตนา คือเรา...เจตนาคือเรา ...ถ้าไม่มีเรา มันจะไม่มีเจตนา 

ก็ให้เห็น ...ตราบใดที่มันยังมีอวิชชา มันจะมีเจตนาอยู่ตลอด ก็ดูไปรู้ไป ...ถ้ามันไม่เข้าไปให้ค่าในเจตนา นั่นแหละ มันก็จะมีความเสื่อมถอยลงของเจตนา

เหมือนกับไม่เข้าไปถือหาง ไม่เข้าไปให้กำลัง ไม่เข้าไปก่อ หรือไม่เข้าไปโอบอุ้มน่ะ ...อำนาจของอวิชชามันก็จะเสื่อมในตัวของมันเองไป


โยม –  ตัวอำนาจของอวิชชาตัวนี้ ก็คือตัวรู้นั่นเองใช่ไหมคะที่ห่อหุ้มอยู่ การที่เขาจะเข้าไปเห็นธรรม

พระอาจารย์ –  คือมันจะต้องถอนตัวนอกออกก่อน ...มันถึงจะเข้าไปถึงอวิชชาตัวใน

ถ้ายังไปมุ่งเอาตรงที่เข้าใจว่า "รู้" เป็นตัวอวิชชา แล้วก็ไปตรงนั้น...ไม่ได้ ...มันจะต้องถอดถอนๆ ในกองขันธ์ ในกองโลกไปเรื่อยๆ


โยม –  พระอาจารย์คะ แต่ตามความเข้าใจมันเหมือนกับมันเป็นของคู่กัน ใช่ไหมคะ คือมันเป็นตัวคู่กันอยู่ แต่เราไม่ได้ไปบอกว่าตัวใดตัวหนึ่ง ใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ตราบใดที่ยังเป็นของคู่น่ะ นั่นแหละ ยังมีที่หมาย ...คือหมายความว่ายังมีที่หมายให้มันเกิดอยู่

จนกว่ามันจะเหลือเป็นสิ่งหนึ่งๆ จริงๆ คือเรียกว่าจิตหนึ่ง จิตเอก ...นั่นแหละมันจึงจะเรียกว่าหมด หมดขันธ์ หมดที่อยู่ที่อาศัยของอวิชชาในภายนอก

นั่นถึงจะเรียกว่าเข้าสู่สภาวะจิตเอก ...อวิชชามันก็จะรวมอยู่ที่เดียว สามโลกธาตุก็จะเหลือแต่ใจกับอวิชชาอยู่คู่กัน ...อยู่ที่เดียวกันด้วย ไม่ใช่อยู่คู่กัน


โยม –  เคยได้ยินที่บอกว่า โดยตัวญาณเท่านั้นจึงจะเข้าไปสำรอกในตัว ใช้คำว่าในตัวของจิตใต้สำนึกใช่ไหมคะ ตรงนี้มันเหมือนกับว่าจริงๆ ในตัวจิตใต้สำนึกนี่ มันต้องผ่านไอ้ตัวญาณที่เป็นกลางตัวนี้ จนมันเข้าไปเห็นเองล้างเอง แล้วมันจึงจะเข้าใจในตัวของมันเองใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  อือ มันก็ไปลบล้างหมดน่ะ


โยม –  แต่จริงๆ ตรงนี้เขาก็จะเข้าใจของเขาได้ขณะหนึ่งๆ

พระอาจารย์ –  เป็นเรื่องที่มันทำงานของมันไปเอง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปรู้ในระบบการทำงานของมัน ...หน้าที่ของเราคือทำยังไงให้ญาณมันเกิด แค่นั้นเอง

แล้วเมื่อญาณเกิดแล้วนี่ หรือว่าปัญญาญาณมันมีแล้วนี่ ...ปัญญาญาณเขาทำงานของเขาเอง เขาเป็นระบบทำงานที่...คือมันเป็นธรรมที่ตรงข้ามกับกิเลสโดยตรงอยู่แล้ว

คือมันเป็น...เหมือนมันเป็นศัตรูในตัวของมันเองอยู่แล้ว เพราะนั้นมันจะอยู่คู่กับกิเลสไม่ได้

ธรรมชาติของญาณ ธรรมชาติของปัญญาญาณนี่ มันเป็นความสว่าง ซึ่งมันไม่สามารถจะทนอยู่ร่วมกัน หรือว่าความสว่างกับความมืดนี่มันจะอยู่ร่วมกัน...เป็นไปไม่ได้

เพราะนั้นมันเป็นธรรมที่หักล้างกันในตัวมันเลย ...ที่ไหนมันมีที่มืดที่มันไม่แจ้งอยู่ตรงไหนนี่ มันก็จะเข้าไปทำลาย ...เหมือนกับเข้าไปฉายความสว่างลงไปเพื่อให้เกิดความกระจ่างในตัวของมัน

นี่ไม่ใช่ว่าเราไปเรียก หรือว่าไปหา หรือไปบอกว่าต้องทำอะไร หรือไม่ต้องทำอะไร ...เขาจะทำของเขา

คือหน้าที่จะต้องทำในองค์มรรคเจริญมรรค คือทำให้ญาณบังเกิดขึ้น ทำให้ศีลบังเกิดขึ้น ทำให้สมาธิมันอยู่ต่อเนื่องขึ้น นี่คือหน้าที่ เท่านั้นเอง ...แล้วเมื่อมันทำหน้าที่นี้อยู่ ตัวศีลสมาธิปัญญาเขาก็ทำงาน

ซึ่งศีลสมาธิปัญญามันเป็นธรรมที่มันอยู่ตรงกันข้ามกับกิเลสโดยตรงอยู่แล้ว อวิชชามันอยู่ร่วมกับศีลสมาธิปัญญาไม่ได้ ....ทีนี้มันก็เข้าไปหักล้างๆๆๆ หักล้างไป 

เพราะนั้นการหักล้างนี่ มันก็ไม่รู้หรอก...อะไรหักล้างแล้วคืออะไร นี่เรียกว่าจิตใต้สำนึก จิตเหนือสำนึกอะไร ...มันไม่สนหรอก

มันก็ทำหน้าที่หักล้างของมันไปเงียบๆ ไปตามลำดับลำดา ตามกำลัง ตามภูมิปัญญา ตามภูมิของญาณนั้นไป...มาก-น้อยก็แล้วแต่

มันก็เข้าไปชำระไอ้สิ่งที่มันอยู่ในซอกหลืบของอวิชชาไป ...มือตีนของอวิชชามันก็ค่อยๆ หดหายไปเรื่อยๆ  


โยม –  เพราะฉะนั้นในลักษณะตรงนี้นี่ มันเหมือนกับว่าที่เดินตลอดในกระบวนการของเขานี่  ตัวนี้ภาษามันจะไม่ขึ้นมาเลยใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  มันเป็นตัวที่ลบบัญญัติสมมุติอยู่แล้ว ...เพราะบัญญัติสมมุตินี่คือความไม่จริง  อะไรที่ไม่จริงน่ะ อะไรที่เป็นความไม่จริงมันก็ลบหมดน่ะ


โยม –  ทีนี้นี่มันสามารถใส่ชื่อลงไปได้ไหมคะ พระอาจารย์

พระอาจารย์ –  ไม่ใส่หรอก


โยม –  ตะกี้ที่พระอาจารย์บอกว่าถ้าสมมุติมันยังไม่หมดจดนี่ คำว่าบริสุทธิ์มันก็ยังมีอยู่ แต่ว่าตัวของมันเองนี่ มันก็เหมือนกับมันจะมีการเทียบเคียงในตัวของมันใช่ไหมคะ ขณะที่มันยังไม่ชำระสุดๆ ของมัน

พระอาจารย์ –  ก็มันก็ต้องมีอุทธัจจะ นี่คืออุทธัจจะ ...ก็บอกว่าพระอรหันต์ถึงชำระได้ 


โยม –  อุทธัจจะในธรรม

พระอาจารย์ –  ก็นั่นแหละ คือตัวที่มันมาบัญญัติธรรมนั่นแหละ มันก็บัญญัติไปจนถึงวาระสุดท้ายของมันนั่นแหละ


โยม –  แต่มันก็สลับกันตรงที่ว่าพอมันไม่มี แล้วเดี๋ยวมันก็มีขึ้นมา

พระอาจารย์ –  มันก็เกิดดับ ...จนถึงที่สุดแล้วมันก็ออกจากความเป็นอุทธัจจะในธรรม แล้วมันไม่สนหรอกว่าธรรมนี้จะมีชื่อหรือไม่มีชื่อ หรือว่าใช่หรือไม่ใช่แต่ในระหว่างทางมันก็มีไปเรื่อยๆ น่ะแหละ


โยม –  ถ้าในลักษณะตรงนี้นี่ค่ะ เมื่อประมาณสามสี่ปีก่อน ตอนที่ไปหาครูบาอาจารย์นี่ แล้วท่านพูดถึงว่าโลกุตรธรรมเก้าน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นในจริงๆ ตรงนี้มันก็ผ่านในตัวของมันตลอดใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ทั้งหมดมันเป็นแค่ภาษาหมดน่ะ มันผ่านโดยที่มันไม่รู้หรอกว่ามันผ่านอะไรมาบ้าง มันไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย และมันไม่สนใจจะรู้ด้วย

สิ่งที่มันรู้ก็คือ...สิ่งนั้นคือสิ่งที่มันต้องละ มันไม่เก็บมาเป็นเสบียงกรังสะสมอะไรไว้เป็นความรู้เลย ...รู้อันไหนดับตรงนั้น รู้ตรงไหนดับตรงนั้น

สิ่งไหนที่มันเป็นเครื่องรู้ขึ้นมานี่ ถ้ามันนอกเหนือจากความเป็นจริงในกองขันธ์นี่ ดับหมด ...แล้วก็...เท่าที่ขันธ์ที่มันปรากฏนั่นน่ะสิ่งที่มันต้องการ

ญาณที่เป็นวิสุทธิญาณจริงๆ จะต้องเป็นจำเพาะขันธ์จริงๆ ...นอกเหนือจากขันธ์นี้ที่ปรากฏนี่ ...มันทิ้งหมดเลย

มันจะรู้อะไร มีความรู้อะไรโดดเด่นขึ้นมา มีความรู้ความอะไรผุดโผล่ขึ้นมา ...มันทิ้งหมด ดับหมดๆๆ มันเป็นของปลอมหมด ของปลอมปนในขันธ์หมด

อะไรที่มันปลอมปนเป็นมลทินน่ะ มันคัดกรองหมด สำรอกออกหมดนั่นแหละ ...มันจะดำรงคงไว้แต่ขันธ์อันบริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน ...เรียกว่าวิสุทธิขันธ์ เรียกว่าวิสุทธิธาตุ วิสุทธิธรรม

มันก็คงความบริสุทธิ์ของขันธ์จนบริสุทธิ์หมดจด ...แล้วนั่นน่ะมันจึงเรียกว่าทิ้งขันธ์โดยสิ้นเชิง 

อวิชชามันจะทิ้งขันธ์เพราะขันธ์มีแต่ความบริสุทธิ์ ...ไม่มีที่ตั้งของเราที่เป็นผู้เกิดผู้ตาย ไม่มีที่ตั้งของเราผู้เป็นสุขเป็นทุกข์ได้ในวิสุทธิขันธ์นี้ 

มันก็ถอยถอนออก...ก็เกิดอาการอวิชชามันทิ้งขันธ์ สำรอกขันธ์ออกมา ปลดปล่อยขันธ์เป็นอิสระ


...................................




วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/28 (1)


พระอาจารย์
12/28 (561111C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ยว่า ตั้งแต่กายตัวเดียว รู้ที่เดียวนี่ ...มันเข้าสู่ความจบสิ้นของขันธ์ห้าได้อย่างไร มันเข้าสู่ความหลุดพ้นจากธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างไร มันพ้นจากอำนาจเครือข่ายระบบของไตรลักษณ์ได้อย่างไร 

มันไม่มีอะไรที่จะมาขัดแย้งได้เลย บอกให้ ...จะไปยกตำรา จะไปยกวิธีการตรงไหน มาขัดแย้งอย่างที่เราพูดนี้ไม่ได้เลย 

ต่อให้มันจะสร้างคำพูด สร้างวิธีการที่ดูดี ดูเก่ง ดูเหนือ ดูเลิศขนาดไหน ...จะมาขัดแย้งกระบวนการ ลักษณะอาการความเป็นไปอย่างนี้ไม่ได้เลย 

เพราะว่านี่คือครรลองของมรรค ที่เรียกว่าเอกายนมรรค ...คือเอก คือหนึ่ง  ไม่มีทางอื่น ไม่มีทางเลือก ไม่มีทางลัด ไม่มีตรงกว่านี้คดกว่านี้...ไม่มี ...มีทางเดียว คือทางเดียว 

ทางเอกคือทางเอก ...เถียงไม่ได้ ลบล้างไม่ได้ ...มันจะประจักษ์แก่ผู้ปฏิบัติ ต่อเมื่อผู้นั้นน่ะ...ตรงต่อศีล ตรงต่อสมาธิ แล้วก็ตรงต่อปัญญาอย่างยิ่งยวด ...ไม่ใช่มาหยิบๆ โหย่งๆ

เพราะนั้น อย่าเบื่อ อย่าท้อ ในการรู้ซ้ำซาก เห็นซ้ำซาก ในอาการ ในอิริยาบถใหญ่และย่อย  อย่ากลัวโง่ อย่ากลัวช้า อย่ากลัวไม่รู้อะไร ...เพราะต้องการไม่ให้รู้อะไรเลย ...ให้รู้อันเดียวคือกาย จำกัดความรู้ไว้

รู้นอก..ไม่เอา รู้ออกนอกขันธ์..ไม่เอา รู้ไปข้างหน้า..ไม่เอา รู้ไปตามตำราเหมือนตำรา..ไม่เอา รู้แบบคนอื่น รู้ตามคนอื่น..ไม่เอา ...รู้อย่างเดียว จำกัดความรู้ไว้ให้มันรู้เดียว...กับสิ่งเดียวกายเดียวปัจจุบันเดียว

ถ้าไม่รวม ถ้าไม่ตั้งใจรวมกายรวมจิตไว้ ถ้าไม่ตั้งรวมกายรวมจิตไว้ตลอดเวลา ถ้าไม่ตั้งรวมกายรวมใจไว้ในกิจวัตรประจำวันทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว ...มันจะเข้าสู่ความบริบูรณ์ของศีลสมาธิไม่ได้

ถึงจะได้ปัญญาบ้างเป็นระยะๆ ก็เป็นแค่ปหาน นิดๆ หน่อยๆ ...นี่แค่กิเลสพอสะดุ้งล่ะว่ะ แต่ยังไม่ตายง่ายๆ  มันยังฆ่าล้างครัว ฆ่ายกโคตรไม่ได้

อย่าจับจด อย่าหยิบโหย่ง อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อย่าหมุนหันไปมา อย่าหันรีหันขวาง อย่าละล้าละลัง อย่าจับปลาหลายมือ อย่าลังเลสงสัยในการปฏิบัติของตัวเองในองค์มรรคในองค์ศีล

มันจึงจะรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา ...นี่ ปากเหยี่ยวไม่ค่อยกลัวน่ะ กลัวปากกา...ข้อความอรรถธรรมที่ขีดเขียนกันเต็มไปหมด ตำรานี่เต็มห้องสมุด เต็มเว็บ เต็มโลก เต็มไปหมด

อย่างนี้ถึงว่ามันจะรอดพ้นมั้ยเนี่ย จากปากเหยี่ยวกับปากกา ...ถึงบอกว่ามันภาวนาขาสั่น...สั่นถอย กับสั่นหนี แล้วก็สั่นด้วยความสงสัยลังเลไม่กล้าเดิน

มันไม่กล้าเดินไปตามครรลองของศีลและมรรค ละล้าละลัง ถอยหน้าถอยหลัง ...เหล่านี้พวกเราจะต้องเผชิญกับมันให้ได้ ฆ่ามันให้ได้ ด้วยความบากบั่นไม่ท้อถอย ด้วยศรัทธาความเพียร

อยู่ในโลกก็อยู่แบบเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ...มันจะเข้าชื่อประท้วงอะไรกัน เรียกให้ไปใส่ชื่อประท้วง กูก็ไม่ไป เพราะกูกำลังทำหน้าที่ประท้วงกิเลสกูเองอยู่

ถ้าใส่ชื่อลงชื่อว่าประท้วงกิเลสตัวเองน่ะ...เอาเลย ทำอยู่ภายใน ...ใครจะชวนไปนั่นไปนี่ อย่างนั้นอย่างนี้  ว่าเพื่อรักษาชาติบ้านเมือง ...กูไม่รักษา กูจะทำลายภพชาติของกู

อย่าว่าแต่รักษาชาติบ้านเมืองแล้วให้กูมีภพชาติอยู่ในประเทศใดเลย ...กูไม่รักษา กูจะทำลายภพชาติ  ไม่ให้จิตออกไปสร้างภพ ไม่ให้จิตออกไปสร้างชาติ เพื่อเป็นที่หมายที่มั่นแห่งการเกิดในเบื้องหน้าเบื้องหลังต่อไป

ใครจะอยากสร้างชาติ คงชาติให้อยู่ จะได้มาเกิดต่อไป ...มึงก็เกิดไป กูไม่มาเกิดกับมึง กูจะไม่มาร่วมหัวจมท้ายกับมึง ....นี่ ต้องแยกโลกออก ต้องแยกออกมาจากโลกแล้ว

เหล่านี้คือปากเหยี่ยวปากกา ที่พาให้เกิดความละล้าละลัง พาให้เกิดความแบ่งแยกกลุ่มพวก แล้วก็จะรู้สึกว่าถ้าไม่ทำตาม ถ้าไม่เป็นไปแบบนั้น...แล้วจะโดดเดี่ยว

ก็ต้องการความโดดเดี่ยวน่ะ ต้องการให้จิตมันโดดเดี่ยว ต้องการให้กายนี่เป็นเอก เป็นอิสระจากหลายกาย...ทั้งข้างหน้า ข้างหลัง กายตรงนู้น กายตรงนี้ และกายคนอื่น

มันจึงจะเห็นเนื้อแท้ ธรรมแท้ กายแท้ กายจริง กายมหาภูตรูป กายที่เป็นสักว่ากาย...หาเรามิได้ในเสี้ยวหนึ่งอณูหนึ่ง ในการปรากฏขึ้นแม้เสี้ยวหนึ่งอณูหนึ่ง

ต้องมุ่งมั่นอยู่อย่างนี้...ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ตั้งแต่ค่ำจรดเช้า ก็มุ่งมั่นอยู่อย่างนี้ เกิดความมุ่งมั่นอยู่อย่างนี้ ภายในอยู่อย่างนี้ ...เรียกว่าเป็นการดำเนิน เรียกว่าเป็นการทำงานในองค์มรรค

ภายนอกก็ทำไปอย่างนั้นแหละ เลี้ยงชีพไป ไม่เอาดีเอารวย ไม่เอาคุณเอาชอบ ไม่เอาขีดไม่เอาขั้นอะไร เดี๋ยวก็ตายแล้ว  ทำพออาศัยมันไป มีเงินเดือนกินไป ไม่ไปเป็นขอทานข้างถนนก็พอแล้ว

ไม่ต้องไปเอาดีเอาเลิศกับอย่างอื่น ...จะเอาดีเอาเลิศที่นี้...ว่ากายเป็นอะไร  จะได้ไม่ต้องกลับมาทำงานอีก ...โคตรน่าเบื่อเลย เรียนมาตั้งเยอะ พอตายลืมหมด เกิดใหม่ต้องเรียนใหม่ 

ตัวหนังสือยังจำไม่ได้เลย ใช่ป่าว เกิดกี่ภพกี่ชาติ ก็ต้องมาเรียน...เริ่มต้น ...ทำไมต้องมาเรียน ก.ไก่ ...ก็มึงลืมน่ะ ...ดันตายทำไม ตายปุ๊บลืมปั๊บ เกิดใหม่เรียนใหม่

เนี่ย มันความซ้ำซากนะ แล้วจะไปดิ้นรนขวนขวายอะไร ...มีเงินร้อยล้านพันล้าน ตายปุ๊บทิ้งปั๊บ  เกิดใหม่...ก็หาใหม่อีก ก็จนใหม่...มาแต่ตัว นี่ 

จะไปขวนขวายอะไรกับมัน จริงจังอะไรกับมัน เดี๋ยวก็หมดแล้ว ...นี่ ยืมเขาใช้ๆ  มันเป็นสมบัติที่ผลัดกันชม 

เงินเหรอ...พอมาอยู่ในมือเราก็ว่าของเรา พอไปอยู่ในมือเขาก็ว่าของเขา ...มันของใครล่ะ ...แล้วแต่ว่าใครจะถือ มันก็เป็นสมบัติที่เปลี่ยนไปมา ...อย่าไปจริงจังอะไรอย่างนี้ 

ไอ้นี่ที่ควรจริงจังมั่นหมายนี่คือ...อะไรเป็นกาย อะไรเป็นรู้ ...อะไรเป็นกายจริง อะไรเป็นกายเท็จ 

อะไรเป็นกายหลอก อะไรเป็นกายปลอมปน อะไรเป็นกายสังเคราะห์ขึ้นมาด้วยอำนาจของกิเลส และอะไรเป็นกายที่สังเคราะห์มาด้วยอำนาจของกรรมและวิบาก...มหาภูตรูป ๔ 

นี่ ก็แยกแยะมันทั้งวี่ทั้งวัน ตลอดวี่ตลอดวัน ทุกเวลานาที ไม่ว่างไม่เว้น ไม่ขาดหาย ...เดี๋ยวมันก็แจ้ง มันแจ้งกาย 

พอมันแจ้งกายแล้ว อะไรๆ มันก็ง่าย ...พอมันไม่มี "กายเรา" แล้ว อะไรๆ มันก็ง่าย ...มันไม่มีกายเรา มันก็ไม่มีเรื่องอะไรเป็นของเราแล้ว อะไรมันก็ง่าย 

อะไรที่เคยเป็นทุกข์ของเรา ก็ไม่เป็นทุกข์ของเรา...ก็เป็นทุกข์ของโลก ...อะไรที่เคยเป็นทุกข์ของเราก็ไม่เป็นทุกข์ของเรา เป็นทุกข์ของขันธ์ ...มันก็ง่าย

แต่ตอนนี้ทุกอย่างน่ะเป็นทุกข์ของเราหมดเลย ไม่เว้นแม้กระทั่งขันธ์ ...แล้วอะไรที่ออกนอกขันธ์น่ะอย่าให้รู้นะ...ทุกข์หมดน่ะ เป็นเรื่องของเราหมด ...ถ้าเป็น “เรา” ไปแตะไปต้องตรงไหน...ทุกข์หมดน่ะ

เพราะนั้นพอหมดเรื่องของกายเราตัวเรา ไม่มีเราในกายนี่ อะไรๆ มันง่ายหมด ...ทุกข์ของเรา ทุกข์ที่เนื่องด้วยเรา ทุกข์เพราะมีเราไปรับ ...มันผิดกันไปคนละฝาคนละขั้ว เรียกว่าพลิกมือกับตีนคนละด้านกันเลย

ตรงนั้นน่ะมันถึงจะรู้เลยด้วยตัวของมันเอง...ว่ามรรคผลมีจริง ผลของการปฏิบัติในองค์มรรคมีผลจริง...แบบไม่สามารถจะเข้าไปปรามาสในองค์มรรคได้เลย

นี่ ไม่สามารถจะเข้าไปปรามาสศีลสมาธิปัญญาได้เลย ไม่สามารถที่จะไปทำกล่าวล่วงเกินศีลสมาธิปัญญา คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้เลย

นี่แหละการภาวนาซ้ำซากอยู่ที่เดียว ...ถ้ายังมีกาย ต้องมีกายกับรู้  ถ้าหมดกายแล้วก็มีรู้...อยู่ที่รู้ ...แต่ถ้ายังไม่หมดกาย จะไปอยู่ที่รู้ไม่ได้ ...มันข้ามขั้น

จนกว่ามันจะเห็นแจ้งแทงตลอดในกาย จนไม่มีกายให้เป็นเครื่องระลึกรู้ จนไม่เห็นว่ากายเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นกายอีกต่อไปแล้วนี่ มันถึงจะถอยถอนกลับมาอยู่ที่ใจที่เดียว 

นั่น รวมจิตเป็นหนึ่ง รวมใจเป็นหนึ่ง ไม่ใส่ใจใยดีกับสรรพสิ่งแล้ว

เอ้า นี่แหละเท่านี้ ...ตั้งแต่บรรทัดฐานจนถึงที่สุดของเส้นทางในองค์มรรค ...คือถ้าสอนมากกว่านี้ มันก็ท่าจะเกินนิพพาน (หัวเราะ) เพราะมันสุดแค่นี้แล้ว ก็เลยต้องหยุดสอน

เพราะถ้าสอนต่อมันก็จะเกินนิพพาน เพราะว่าเกินนิพพานมันไม่มี มันไม่มีคำสอน ...มันมาสุดแค่ตรงนี้ ก็เลยต้องเอวังที่นิพพาน เพราะสอนเกินนิพพานไม่ได้ ไม่มีอะไรให้สอนแล้ว


โยม –  เหมือนกับไม่ค่อยรู้เรื่องของโลกเขา สังคมของการปฏิบัติ มันหลากหลายมากค่ะ

พระอาจารย์ –  เออน่ะ โง่ ไม่รู้อะไรหรอก ...รู้ว่ายืนเดินนั่งนอน รู้อยู่กับตัว รู้อยู่กับขันธ์ รู้อยู่แค่นี้...ไม่ต้องไปสนใจอะไร

ความจริงมันก็ค่อยๆ เปิดเผย กระจ่างอยู่ในตัวขันธ์ของมันเอง อะไรเป็นอะไร ที่มาที่ไป ที่เกิดที่ดับ การเกิดการดับ 

สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรหรอก ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ ในขันธ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นส่วนของกิเลส ไม่ว่าเป็นส่วนของนาม ในส่วนของโลก ไม่มีอะไรเกินกว่าการเกิดดับ

ทุกอย่างมันก็จบลงตรงนั้น มันก็จบอยู่ในตัวของมันเอง ไม่ต้องไปทำความจบอะไร ...จนมันไม่สงสัยในอาการของขันธ์ทั้งปวง ไม่ว่าอะไร


(ต่อแทร็ก 12/28  ช่วง 2)



วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/27 (2)


พระอาจารย์
12/27 (561111B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 12/27  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แล้วกายมันอยู่ในไหนล่ะ ...กายมันอยู่ในโลกนะ  ไม่มีกายในที่อื่นนะ มีอยู่ในโลกนี้นะ เพราะนั้นมันก็ไม่เกิดในโลกแล้ว  ถ้าไม่มีกายก็ไม่มีโลก ไม่เกิดในโลก

เพราะกายจะไปเกิดในสวรรค์ไม่ได้ กายมหาภูตรูป จะไปเกิดในนรกก็ไม่ได้ ...มันต้องเกิดในโลกมนุษย์ที่เรายืนเหยียบเดินไปเดินมาอยู่เนี่ย ...เพราะนั้นเมื่อไม่มีกายมันก็ไม่มีโลก มันจะไม่เกิดในโลกแล้ว

เนี่ย ใครว่าหยาบ หือ อยากตบปากมัน ...ใครว่าติด ยิ่งภาวนากายยิ่งติดกาย หือ ...เรานี่ต้องการให้ติด ให้แนบแน่นเลย...แต่ว่าแนบแน่นอยู่กับกายปัจจุบันนะ

ไม่ใช่ไปแนบแน่นอยู่กับกายที่...'เมื่อไหร่จะสำเร็จวะ เมื่อไหร่มันจะดีกว่านี้วะ' ...แน่ะ ไอ้กายพวกนั้นอย่าไปแนบแน่นกับมัน...ไม่จริง ไม่ใช่กายศีล อย่าไปจริงจัง

คือถ้าเอาศีลเป็นบาทฐานแล้วนี่...กิเลสเบื้องต้นนี่มันหลอกไม่ได้ว่าอะไรจริงกว่ากัน อะไรเท็จกว่ากัน ...นี่ ศีลจึงกลายเป็นมาตรฐานเครื่องวัดเครื่องกรองความเป็นจริงของกายว่า อันไหนจริง อันไหนไม่จริง

ทีนี้พอถึงขั้นที่ว่ามันหมดความหมายมั่นในกายแล้วโดยสิ้นเชิงนี่  ส่วนที่มันเป็นเราในนามนี่...ผิวๆ บอกให้ ไม่ใช่ยากเย็นเข็ญใจเหมือนอย่างนี้หรอก

เพราะปัญญาในระดับนั้นมันเป็นปัญญาขั้นละเอียด ขั้นประณีตแล้ว  ทุกข์ก็จะเป็นทุกข์ละเอียด ทุกข์ประณีตแล้ว  การเลิกละเพิกถอนก็เป็นไปด้วยความไม่ยาก...แล้วก็ไม่ง่าย

เป็นไปแบบเรียบ เป็นไปแบบรู้เองเห็นเอง ...ไม่อาศัยตำรับตำรา ไม่อาศัยครูบาอาจารย์ ไม่อาศัยอะไรเป็นตัวเหนี่ยวนำแล้ว ...มันไปแบบรู้เองเห็นเอง เรียกว่าปีกกล้าขาแข็ง

แต่ในระดับเบื้องต้นนี่อย่าไปเรียกว่าปีกกล้าขาแข็ง เรียกว่าปีกกล้าขาสั่นดีกว่า ...สั่นยังไง ...คือไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเจออะไร ไม่รู้ว่าไอ้นี่เกิดขึ้นแล้วเราจะรับไหวไหม

มันยังมีความประหวั่นพรั่นพรึงกับอดีตและอนาคตอยู่  มันยังกลัวตัวเราในอดีตและอนาคตที่จะเจออยู่  ...เห็นมั้ย มันยังมีนะ ยังกลัวอยู่นะ

นี่เขาเรียกว่าภาวนาแบบขาสั่น วันไหนดีก็ดี ...แต่ว่าพอหยั่งน้อมไปข้างหน้านี่ ขาเริ่มสั่น... 'ไม่รู้กูจะทานไหวไหมนี่'

แต่ถ้าในระดับนั้นไปนี่...ที่เรียกว่าปีกกล้าขาแข็งนี่ ไม่มีขาสั่น ...เพราะไม่มีขาแล้ว  ไม่มีคน ไม่เราในอดีต ไม่มีเราอนาคตที่เนื่องด้วยกายแล้ว มันจะไปขาสั่นขาสู้อะไร

ใครประมาทกายใครประมาทศีลแล้วว่าได้มรรคผลเอ๊าได้มรรคผลเอา ...มันเอามาจากไหน หือ เดี๋ยวคนนั้นก็ได้ เดี๋ยวคนนี้ก็สำเร็จ ...โคตรง่ายเลยว่ะอย่างงั้น

ไอ้เรานั่งหัวปักหัวปำดูกายดูรู้...ดูกายดูรู้  ดูอยู่ รู้อยู่ ไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับภายนอกเลย ...ภายนอกคือบุคคลด้วย ภายนอกคือจิตนอกด้วย นี่ไม่ออกไปสังสรรค์เลย

อยู่ตัวคนเดียว อยู่กับรู้อันเดียว ในที่จำกัด ...นี่ เราเคยบอกแล้ว คราวที่แล้วเราก็บอกแล้วว่า...All for One  แล้วมันจึงจะเป็น One for All ...รวมกายเป็นหนึ่ง รวมจิตเป็นหนึ่ง...เป็นงานหลัก

ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะ มันจะไม่รู้เลยว่า...ไอ้หนึ่งกายจริงๆ นี่ หน้าตาของหนึ่งกายจริงๆ หน้าตาที่แท้จริงของมันคืออะไร มันมีหน้าเหมือนเรามั้ย

ถ้าว่าหน้าตรงนั้น หน้าตรงนี้ เหมือนเรา เป็นเรา ...แต่ถ้าหน้า...ที่เป็นหน้าเดียวนี่ หน้า...ที่เป็นหน้าศีล หน้าปัจจุบันนี่ ...ดูดีๆ เหอะ เดี๋ยวจะเห็นว่าหน้ามันเหมือนเรามั้ย

นี่ เขาเรียกว่ากายหนึ่ง รวมกายเป็นหนึ่ง รวมศีลเป็นหนึ่ง รวมสมาธิเป็นหนึ่ง รวมใจเป็นหนึ่ง ...นี่  All for One...หนึ่งรู้หนึ่งเห็น กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นปัจจุบันขันธ์ปัจจุบันกาย

เออ ขันธ์น่ะมันมีห้า แต่ไม่ต้องกลัวหรอก เอาหนึ่งให้รอดก่อน ...ถ้าหนึ่งยังไม่ได้ ถ้าหนึ่งยังไม่เห็น ถ้าหนึ่งยังไม่แจ้ง ถ้าหนึ่งยังไม่ตลอดนี่...อย่าอาจหาญ 

อย่าอาจหาญที่จะไปแจ้งไปรู้ในนามทั้งสี่...แล้วก็มาเหมาว่า กูแจ้งแล้วขันธ์ห้า ...ง่ายไปมั้ย โคตรง่ายเลยอย่างนั้น ใครก็ทำได้

ครูบาอาจารย์สมัยโบราณท่านถึงบอกว่า สมัยนี้พระอริยะนี่มันดาษดื่นเหลือเกิน เหมือนกับขายเนื้อสดปลาสดในตลาดนัด ...ทำไมมันง่ายอย่างนั้น

มันง่ายเกินไปรึเปล่า หรือมันได้แบบผิดทำนองคลองธรรม ผิดครรลองคลองมรรค  มันเลยมีกลาดเกลื่อนกว่าสมัยพุทธกาลซะอีก ...เดี๋ยวๆ ก็สำเร็จ เดี๋ยวๆ ก็สำเร็จ

อายุพระบางองค์ก็...เดี๋ยวๆ ก็สำเร็จแล้ว  อายุพรรษาสัก 1-2-3-4-5 พรรษา อุ้ย สำเร็จแล้ว ...โคตรง่ายเลย  แล้วก็เอาความง่ายนี้มาแจกจ่ายเจือจานด้วยเมตตา

เราถึงบอกว่าอย่ารีบ อย่าเอาเร็วเอาด่วน มันมักง่าย ...ถามว่ารู้กายเห็นกายได้นี่ ตอบกับตัวเองได้ไหมว่า...ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือยัง 

ถ้ายังตอบว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้...อย่า อย่าบังอาจ อย่าบังอาจสอนธรรม อย่าบังอาจยกตัวเอง...ซึ่งยังมี "เรา" อยู่ในการยกนั้น

เพราะนั้นในระดับเบื้องต้นจนถึงระดับอนาคามรรคอนาคาผลนี่...เงียบกริบ บอกให้ ...จิตนี่เงียบสนิทราบคาบเลยแหละ ไม่หือไม่อือ ไม่มีสิทธิ์หืออือ แล้วไม่กล้าหือกล้าอือด้วย

นี่ โดยอำนาจของศีลสมาธิปัญญา กดหัวมันอยู่นี่ เอามันจนจมน่ะ เรียกว่าสงบราบคาบ คามือคาตีนศีลสมาธิปัญญาเลย ...มันจึงจะยอมเปิดเผยความเป็นจริงออกมา คายให้เห็นว่าความเป็นจริงคืออะไร

นี่เรื่องกายเรื่องเดียวนะนี่ เรื่องอื่นไม่สน ...ใครว่ากายเป็นเรื่องง่ายๆ ...โธ่...รากเลือดน่ะ 

จับนักดูจิตน่ะมาเลย มานั่งเลย สามชั่วโมง เอาสิ อยู่ได้มั้ยกายน่ะ ทนได้มั้ยกับเวทนากายน่ะ  จับพระโสดาที่ว่ามานั่งเลย เดี๋ยวมันจะได้ด่ากายตัวเองแทนที่จะเป็นโสดา

เวทนาในกายนี่ กายที่เป็นทุกข์ ท่านเรียกว่ากายนี้คือก้อนทุกข์ ก้อนเวทนาทุกข์ ...คือก้อนนี้ก้อนกายนี่ มันจะแสดงความเป็นทุกขเวทนาจนถึงที่สุดและวาระสุดท้ายเลย

ไม่มีคำว่าพักยก ไม่มีคำว่าว่าง วาง หาย ...มันจะแสดงความเป็นเวทนาจนหยดสุดท้าย ขณะที่จะแตกดับเลย  แล้วมันจะหมดต่อเมื่อกายนี้ดับ  กายมหาภูตรูปดับเมื่อไหร่ เวทนาในกายดับพร้อมกัน

ไม่มีใครสามารถเอาชนะเวทนาได้เลย...ต่อให้เป็นพระอรหันต์ด้วย  ท่านก็จะอยู่กับเวทนาของทุกข์นี่จนหยดสุดท้ายเลย...เต็มๆ  แล้วก็ดับไปพร้อมกัน

เพราะนั้นไอ้แค่ทุกข์เล็กๆ น้อยๆ เจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่ายุงกัดแค่นี้ก็ขยับหนี ขยับแก้แล้วนี่ ...อย่ามาพูดว่าข้ามกาย ข้ามเวทนากายด้วยปัญญา หรือว่าข้ามเราในกาย ละเราในกายโดยหมดสิ้นโดยสิ้นเชิง

อย่ามาเหมา แล้วก็มาสมอ้างว่า...'เดี๋ยวต่อไปมันก็ละของมันไปเอง' ...เป็นไปไม่ได้ เนี่ย รู้กายเห็นกายแบบหยิบโหย่ง หือ รู้แบบหยิบโหย่งน่ะ

แล้วเอาเวลาส่วนใหญ่น่ะไปมุ่งมั่นจริงจังกับตรงนั้น ตรงนี้ ข้างนอกข้างนั้น ข้างนอกข้างเหนือกว่า ...แต่กายนี่รู้แบบหยิบโหย่งๆๆ อย่างนี้

เขาว่ามันหยาบ...'โอ้ย เดี๋ยวมันติด เดี๋ยวทีหลังก็รู้ของมันไปเองน่ะ' ...อือ มักง่าย  ภาวนาแบบมักง่าย 

อวดรู้ อวดดี อวดเก่ง อวดธรรม...ว่าปัญญานี่เหนือกว่าสมถะ เหนือกว่าวิธีการที่ทำกันอยู่ในการพิจารณากาย หรือว่าสติในกายเป็นสติหยาบๆ พื้นฐาน

ก็แค่พื้นฐานมันยังไม่ได้เลยน่ะ ...แล้ว กลาง สูง มันอยู่ไหนได้ล่ะ หือ ...พื้นฐานไม่สน ว่าเป็นแค่พื้นฐาน...พื้นฐานเด็กๆ ...เด็กๆ เขาทำกัน

ก็ถ้ามันไม่มีเด็ก มันจะมีคนแก่ตายมั้ยนี่  หรืออยู่ดีๆ ก็เกิดมาปุ๊บแก่ตายปั๊บ ไม่ทันเด่ะ ...บ้ารึเปล่า ทำไมมันภาวนากันมาตั้งหลายปีดีดัก มันกลับให้กิเลสความโง่มันหลอก เอาธรรมมาหลอก


(ต่อแทร็ก 12/28)