พระอาจารย์
12/12 (560922C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 กันยายน 2556
พระอาจารย์ – คือยังไงๆ มันยังออกจากความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ยังไงก็ทุกข์แน่ๆ
ก็ยังมี “เรา” ไปรองรับขันธ์อยู่ เข้าไปอ้างกรรมสิทธิ์ในขันธ์นี่ ...ประเภท ภบท.5 ... รู้จัก ภบท.5 มั้ย สทก.1 อย่างนี้ คือเอกสารสิทธิ์แบบที่ดิน...ซึ่งไม่ใช่ของกู
แต่กูบอกว่าของกูน่ะ แล้วก็เอามาซื้อขายกันอุตลุดปี้ป่นไปหมด
ทั้งๆ ที่ว่ามันไม่ได้เป็นของใคร
แม้กระทั่งของราชการ ...ราชการก็บอกว่าของกรมป่าไม้
กรมอุทยานฯ ไอ้ชาวบ้านก็บอกว่าผมมี สทก.1 ผมมี ภบท.5 ก็ทะเลาะกัน
แต่ถ้าผืนดินพูดได้มันก็บอกว่า
“มึงบ้ากันรึเปล่า กูเคยบอกมั้ยว่ากูเป็นของใครเลย”
เนี่ย กายนี่คือก้อนดินนั่นน่ะ ...แต่ตอนนี้พวกเราก็ว่าถือโฉนด...ครอบครองแบบเป็นโฉนดอยู่นะ ...เออ ถ้าเป็น สทก. ภบท. ยังพอหวาดระแวงว่าเดี๋ยวกูจะถูกไล่รึเปล่า ...แต่นี่มันแบบ “กูถือโฉนดอยู่นะ”
ก็จนกว่ามันจะละเลิกเพิกถอนสิทธิการครอบครองในตัวของมันเองน่ะ ... ทีนี้ยุ่งล่ะสิ ไม่มีที่อาศัยแล้ว “เรา” เนี่ย ยุ่งเลยนะ “เรา” ไม่มีที่อยู่แล้วนะ
“เรา” ก็กลายเป็นผีเร่ร่อน เริ่มไม่มีที่อยู่แล้วเรา …เห็นมั้ย การอ้างสิทธิ์ในขันธ์ จากความไม่รู้
ถามว่าทำไมเราพูดถึงดินแล้วมันเป็นเรื่องเดียวกันได้ล่ะ ...เห็นมั้ยว่าธรรมนี่เป็นเรื่องเดียวกันนะ มันไม่ได้แตกต่างกันเลย ฟังดูเหมือนกับเป็นคนละเรื่องกันนะ แต่จริงๆ ก็เหมือนกันนั่นแหละ
ไม่ต้องไปพิจารณาอะไรซับซ้อนเลย มันเรื่องเดียวกัน
จะหยิบยกอะไรมันก็เรื่องเดียวกันหมดน่ะ คือ...เป็นการถือครองกรรมสิทธิ์โดยที่ไม่มีสิทธิ์
ในขันธ์และโลก
จะทำยังไงจะไม่ให้มันถือครองได้อีก ...วิธีแก้พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้ามันไม่มี “เรา” น่ะ มันจะมีใครอ้างสิทธิ์เล่า หือ
แต่ถ้ายังมี “เรา” อยู่ ...ถึงจะห้าม หรือจะบอกว่า เออ ห้ามเราไปอ้างสิทธิ์นะ แต่ "เรา" ยังมีอยู่เมื่อไหร่ ...เดี๋ยว อย่าเผลอนะ เดี๋ยวกูอ้างจนได้น่ะ
นี่แหละที่พระพุทธเจ้าบอกว่า
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ
พระตถาคตสอนให้เห็นธรรมที่เข้าไปสู่ความดับที่เหตุนั้นๆ
จำให้แม่น จำให้มั่น ในหลักการภาวนา
จะได้ไม่ผิดพลาดจากการภาวนา
มันอาจจะได้ผลที่มันเป็น accessory
อะไรบ้าง มันก็มีน่ะ
แต่อย่าไปบ้ากับมัน อย่าไปจริงจังจนลืมเนื้อลืมตัว ลืมกายลืมใจ
ลืมศีลสมาธิปัญญาที่กำลังเพาะบ่มอยู่
เนี่ย ยังอยู่ในขั้นที่เรียกว่าเพาะบ่มอยู่
เอามาใช้งานยังแทบไม่ได้เลย ...คือ ถ้ามันใช้งานได้แล้ว
มันก็คงไม่ต้องมาหาเรา แล้วไม่ต้องมาฟังเราหรอก
เพราะนั้นอนุโลมได้โดยที่ไม่ต้องมีเจโต....ว่ามันยังไม่ได้ใช้งานได้ (โยมหัวเราะกัน) มันอยู่ในขั้นเพาะบ่มอินทรีย์ ศีลยังไม่มี ยังไม่พอ สมาธิยังไม่พอ ปัญญายังไม่เดินเต็มตัวเต็มสูบ
รถมันมีสี่สูบ มันวิ่งได้แค่ครึ่งสูบ
วิ่งไปสำลักน้ำมันบ้างสำลักอากาศบ้างเพราะไม่สมดุล มันกึ่กๆๆๆ มันก็เลยไปไม่ถึงไหน แวะข้างปั๊ม
ข้างถนน ข้างร้านค้า ข้างป่าเหวดงดอยที่ไหนไม่รู้
บ่มไว้ๆ รู้ตัวเข้าไว้ๆ มีอะไรเกิดขึ้น...รู้ตัว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...รู้ตัว กำลังโกรธ...รู้ตัว
กำลังทำอะไร...รู้ตัว กำลังถูกด่าก็รู้ตัว
กำลังโดนด่าหรือกำลังด่าเขาก็รู้
เนี่ย เอารู้ตัวเข้าไว้ ...ไม่ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์อะไร บ้าบอคอแตกขนาดไหน ดีร้ายถูกผิด
รับได้-รับไม่ได้ขนาดไหน ...รู้ตัวเข้าไว้
เอาศีลสมาธิปัญญา
อยู่กับศีลสมาธิปัญญาเป็นรากฐาน เป็นหลักเข้าไว้ ...ไม่ต้องไปนึกหาคำภาวนาในขณะนั้นหรอก รู้ตัวเข้าไว้ ... เอาง่ายๆ นี่เขาเรียกว่าบ่มๆๆ
บ่มอินทรีย์ บ่มๆๆ บ่มศีลสมาธิปัญญา หมักไว้
ให้มันได้ที่ ...เหมือนบ่มไวน์
ถ้ามันไม่ได้ที่ ไม่ได้เวลา มันก็กินไม่ได้ มันไม่ได้ราคา มันต้องได้ที่
ยิ่งนานยิ่งเก่า อย่างบรั่นดีนี่ ...นี่ต้องหมักบ่มอย่างนาน แบบซีลแบบสนิทเลยนะ น้ำไม่เข้าอากาศไม่เข้า เชื้อราหรืออะไรต่างๆ
ไม่เข้า นั่นน่ะมันถึงจะมีคุณค่าขึ้นมา
ไอ้นี่บ่มยังไม่ทันถึงวันก็จะเอามากินแล้ว
ว่าใช้ได้แล้ว ...มันมักง่ายๆ
อย่ารีบใช้ ...อย่าเพิ่งไปอาจหาญต่อโลก อย่าเพิ่งไปอาจหาญต่อกิเลสในโลก อย่าเพิ่งไปอาจหาญต่อคนในโลก ...ไม่งั้นกลับมานี่ซิบๆ
จนถึงแขนขาดหัวหลุดกระเด็นเลยน่ะ
ให้มันได้ที่ ...ทีนี้ อาจหาญในธรรม
มันมีความอาจหาญอยู่ภายใน ...หมายความว่าอะไร อะไรจะเกิด...ไม่กลัว
อะไรที่คาดแล้วไม่เป็นดั่งคาด...ไม่กลัว
อะไรที่หมายแล้วไม่เป็นดั่งที่หมาย...ไม่กลัว ไม่ว่าจะเกิดอะไร ไม่กังวล ...นี่อาจหาญ
ไม่ต้องมานั่งคิด นอนคิด ยืนคิด กังวล ก่อนที่จะไป ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะไปเจอ ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ แต่มันอาจหาญ อยู่ตัว ...นี่เขาเรียกว่าไม่กลัวกิเลส
พอถึงขั้นที่ว่าไม่กลัวกิเลส
มันจะตรงข้ามกันคือ...กิเลสกลัว กิเลสนี่หลบเลย หลบลี้หนีหายเลย ... ต่อให้เป็นกิเลสภายนอก
ต่อให้เป็นกิเลสภายในก็ตาม
มันกลัวหมด กระเด็นกระดอน เข้ามาไม่ถึง ละลายหาย สลายสิ้น
ตั้งแต่กระทบ ตั้งแต่เห็น ตั้งแต่ได้ยิน ตั้งแต่หูตาจมูกลิ้น เข้าไม่ถึง พลานุภาพของศีลสมาธิปัญญา...ที่ดีแล้วนะ ...นี้หมายถึงได้ที่ดีแล้วนะ
ก็สร้างขึ้นเอง ทำขึ้นเอง เจริญขึ้นเอง
เป็น อัตตาหิ อัตโน นาโถ คร่ำเคร่งอยู่ภายใน เพียรเพ่งอยู่ภายใน ขวนขวายอยู่ภายใน
อย่างนี้แหละ นึกน้อมอยู่ภายใน ทำความรู้ทำความเห็นอยู่ภายใน ...จำคำเหล่านี้ไว้เถอะ
มันสอนจิตได้
คอยสอนไว้ อย่าให้มันไปรู้ภายนอก
อย่าให้มันไปฝากผีฝากไข้กับภายนอก อย่าให้มันไปหมายมั่นกับอะไรภายนอก ...ทั้งที่จับต้องได้ ทั้งที่จับต้องไม่ได้
จับต้องได้คือต่อหน้าในปัจจุบัน
จับต้องไม่ได้คืออดีตอนาคต ...อย่าไปหมาย อย่าไปมั่น อย่าไปฝาก อย่าไปเอามาเป็นธุระจนถึงขั้นลืมเนื้อลืมตัว
ถ้าอยู่ในลักษณะกิจวัตรอย่างนี้
นิสัยอย่างนี้ ...อานิสงส์ของศีลสมาธิปัญญา ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม คำว่าธรรมย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม คือธรรมที่เรียกว่าศีลสมาธิปัญญานี้เอง
ไม่ต้องกลัวลำบาก
ไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่กับโลกไม่ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีแต่เรื่องมากขึ้น ...มันจะเป็นไปตามสภาพธรรม ครรลองธรรม สมควรแก่ธรรม ตามเหตุตามปัจจัยแห่งการปรากฏของธรรมนั้นๆ
ข้าศึกของพวกเราส่วนมากตอนนี้คือความเผลอ
ลอย หาย ...ไอ้เรื่องความคิด ไอ้เรื่องความทุกข์ ไอ้เรื่องอารมณ์
มันยังพอเห็นพอทันในขณะนั้นได้ ...แต่พอมันไม่มีอะไรแล้วนี่ มันจะหาย มันไม่อยู่
มันไม่มีรู้อยู่ มันไม่มีกายอยู่
ตรงเนี้ยมันเป็นรอยโหว่ของสัมปชัญญะ
ของความต่อเนื่องในสติ ของความต่อเนื่องในกายในศีล ...มันก็เหมือนกับเป็นถ้วยน้ำ
โอ่งน้ำ ที่มันรั่ว ...มันไม่เต็ม
ก็ต้องอุด ...จะยากจะขนาดไหนก็ต้องอุดรอยรั่วเหล่านี้ให้ได้ อย่าปล่อยให้เผลอ ให้เพลิน ให้หาย
รีบกำชับสติสมาธิขึ้น ระลึก ตั้งมั่น ทุกครั้งที่เผลอ ทุกครั้งที่หาย ...อย่าปล่อยให้มันลอย อย่าไปอยู่กับอารมณ์เลื่อนลอย
คืออารมณ์ทุกอย่างน่ะ
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ว่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์สบาย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์สุข
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โปร่งเบา ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดี ...อย่าไปเกลือกกลั้วอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น
ทำความรู้กายไว้
ทำความรู้ทำความเห็นกับกายไว้ จนชำนาญ จนยืนหยัดมั่นคง ยืนยาวคราวไกลในสติในกาย
ในสติในรู้ มรรค...ที่เรียกว่าจะเป็นทางเดินในมรรคคือปัญญานี่...มันจึงจะเดินได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่ใช่แหว่งๆ วิ่นๆ เห็นบ้างบางขณะ
บอกแล้วถ้ามันเห็นด้วยความต่อเนื่องในกาย...นี่เหมือนกับรูปปั้น
เหมือนกับหุ่นกระบอก แล้วมีผี...เหมือนผี คือใจนี่สิงอยู่ เป็นรู้เป็นเห็น
คู่กันอยู่อย่างนั้น และต่างคนต่างเป็นอิสระซึ่งกันและกัน
บ่มให้มันพอ บ่มให้มันเต็ม
บ่มให้มันได้ที่ บ่มอินทรีย์ ...ช้าก็ช่างมัน เร็วก็ช่างมัน ไม่ต้องไปนึก
ไม่ต้องไปหาวิธีมาช่วย
พอมันเริ่มคิด...ไม่เอา ๆ
พอมันเริ่มจะหาอะไรที่ใหม่กว่าดีกว่า...ไม่เอา หาอะไรที่มันถูกกว่า...ไม่เอา นี่
คิดทั้งนั้นเลย...ไม่เอา
กล้าละ...ความคิดของเจ้าของ กล้าละ...ความอยากได้
อยากมี อยากเป็น ที่นอกเหนือจาก “นี้” ไป ... ต้องกล้า ต้องละ
ความรู้ในกายจึงจะเกิดความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย ไม่เว้นวรรคขาดตอน
ทำกายให้ไม่เว้นวรรคขาดตอนให้ได้
นี่คืองานหลักของทุกคน คือการเติมศีลให้เต็มนั่นเอง
สมาธิก็จะเขยิบขึ้นเหมือนเงาตามตัว ศีลมี...สมาธิเกิดเท่านั้น
ศีลเท่าไหร่...สมาธิเท่านั้น
จิตก็จะแนบแน่นมั่นคงอยู่ภายใน ตั้งมั่นอยู่ภายใน หลังจากตั้งมั่นแล้ว อาการรู้อาการเห็นจะชัดเจนขึ้นตามลำดับ ...นั่นหมายความว่าศีลสมาธินี้เพียงพอแก่การเกิดปัญญา
เพียงพอแก่ญาณปัญญา
อย่าไปเปลี่ยน อย่าไปโลเลในวิธีการ
ทำกายให้แจ้งในที่เดียว แจ้งหมดในธรรม มันจะแจ้งเอง มันจะเข้าใจเอง
ซึ่งตอนนี้มันจะรู้สึก อาจจะรู้สึกบ้างว่า “มันจะเข้าใจได้ยังไงวะ
มันจะไปแจ้งในเรื่องทั้งหมดสามโลกธาตุได้ยังไงวะ กูมองไม่เห็นทางเลย
ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย”...ตามตรรกะนะ
แต่เอาเหอะ เชื่อพระพุทธเจ้าไว้ก่อน
จิตหนึ่งกายหนึ่ง เอโกธัมโม เอกังจิตตัง เข้าสู่จิตเอกก็เข้าถึงธรรมเอก
ซึ่งเป็นธรรมเดียวทั้งหมดเลย ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากนี้เลย
ทุกคำพูดทุกคำกล่าวที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ แล้วเหล่าสาวกจารึกตามมาด้วยความจดจำคำพูด ไม่มีคำว่าผิดพลาดคลาดเคลื่อนเลย
ปริยัติที่ท่านตราไว้พูดไว้ ในที่ต่างๆ ในสถานการณ์ต่างๆ ในบุคคลต่างๆ
ไม่มีอะไรที่มาขัดแย้งกันในองค์ศีลสมาธิปัญญา ในองค์มรรค ในคำพูดของท่านเลย
แต่ไอ้ปัญญาในระดับของพวกเรานี่คือปัญญาแบบหัวไอ้เรืองน่ะ ...มันจะหาช่องโหว่ ช่องขัดแย้ง ช่องที่ว่าไม่เหมือนกัน ช่องที่มาลบล้างกันอยู่ตลอด
แต่ถ้าเข้าไปถึงมรรคจริงๆ แล้ว เข้าถึงผลจริงๆ แล้ว ...ทุกการกระทำคำพูด
ทุกสิ่งที่ท่านสอน เป็นปัจจัยสนับสนุนซึ่งกันและกันตลอด ทุกบททุกบาท
นั่นแหละ เอ้า ตามนี้ พอได้กำลัง
แล้วก็ไปทำกันเอาเอง
..............................