วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 12/40


พระอาจารย์
12/40 (561219E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
19 ธันวาคม 2556


พระอาจารย์ –  อภัย...เป็นทานที่สูงสุด  อภัยทุกสิ่ง...ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่มีชีวิต  อภัยอากาศที่มันหนาว อภัยเวลาที่มันมืด ...ก็ให้อภัย ไม่โต้แย้ง ไม่โกรธ ไม่เกรี้ยวกราด ไม่ทะเลาะ ไม่ต่อต้าน

อภัย...จึงว่าเป็นทานอันสูงสุด และเป็นทานที่ทำได้ยากยิ่งสำหรับปุถุชน...แต่มีอานิสงส์สูงสุด จนหลุดพ้นเลย ฝึกไว้ ฝึกไม่ได้ก็ท่องไว้ “ช่างหัวมัน”

ท่องไว้ “ช่างหัวมัน” ...อะไรจะเกิด “ช่างหัวมัน”  อะไรจะไม่เกิด “ช่างหัวมัน” ...นั่นแหละ เป็นลักษณะหนึ่งของอภัย...แม้จะเริ่มแบบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน...ไม่เป็นไร ฝึกๆ 

เข้าใจคำว่าฝึกมั้ย ...เพราะมันไม่ค่อยจะยอม “ช่างหัวมัน” สักเท่าไหร่หรอก ...ก็ไอ้นี่ อีนี่ กูเกลียดชิบหายเลย เพราะมันเลว เลวทั้งโคตร จะให้กูช่างหัวมันได้ยังไง

นี่ เห็นมั้ยๆ เห็นอะไรที่มันซ่อนอยู่ในใจมั้ย เห็นความไม่ยอมมั้ย เห็นความอหังการมั้ย เห็นความที่ไม่มีอำนาจต้านความอหังการของ "เรา" มั้ย ...จิตจึงแข้งกระด้าง มีแต่ความแข็งกระด้าง ไม่อ่อนโยน 

เคยเห็นดินที่แล้งแตกระแหงมั้ย นั่น เอาข้าวเปลือกไปโปรย หว่านไถ ...งอกมั้ย  อย่าว่าแต่หว่านไถเลย งอกก็ยังไม่มีให้งอก ไถกูยังไถไม่เข้าเลย ...ดอกผลจะมาจากไหน มรรคผลจะเกิดได้อย่างไร

จิตที่ควรแก่งาน นาที่ควรแก่การปลูก ...มันจะต้องอ่อนนุ่มอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่แข็งกระด้าง ไม่แห้งแล้ง ไม่เร่าร้อน ไม่อวดดี ไม่อวดเก่ง ไม่มีโทสะ ไม่มีราคะ ไม่มีปฏิฆะ

เห็นมั้ย หลายไม่มีเลยน่ะ กว่าที่จิตมันจะอ่อนโยน กว่าจะฝึกจนกว่าจิตนี่จะเป็นจิตที่ดีมีคุณภาพ ผ่านคิวซี ได้รับมาตรฐาน อย. ...มรรคจึงจะเกิด ผลจึงจะปรากฏ

กว่าที่จะอบรมจิตให้มันได้คุณภาพนี่ สติระลึกรู้ กายปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆๆ ...จิตมันจะไปกระด้างกระเดื่องต่อสิ่งนั้น สิ่งนี้ สิ่งโน้น...อดทน ข่มกลั้น ฝืน ไม่เอาๆ วางซะ ช่างหัวมัน นี่ๆ

จนมันอยู่กับเนื้อกับตัว จนมันถูกศีล สมาธิ บ่ม ให้มันเกิดความชุ่มเย็น คือเอาน้ำเข้าไปลูบ ...ศีลสมาธิเป็นของเย็น เหมือนน้ำ มันเข้าไปทำให้ความแข็งกระด้างของจิตนี่อ่อน

ทีนี้จะปั้นเป็นอะไรก็ได้ จะเอาข้าวปลูกก็ได้ข้าว จะเอาส้มปลูกก็ได้ส้ม เป็นไปตามพันธุ์นั้นๆ เป็นเนื้อนาที่ดี เป็นเนื้อนาบุญที่ดี มีผลผลิตที่งอกงาม กินเองก็อิ่ม แจกจ่ายคนอื่นก็อิ่ม ไม่เป็นพิษให้คนอื่นด้วย

คือมรรคและผลนั่นเอง มรรคผลอันประเสริฐ ...ท่านถึงเรียกว่ามรรคผลอันประเสริฐ เพราะว่ามีแต่คนอยากได้ ไม่มีคนปฏิเสธเลยในความเย็น เพราะมันไม่มีพิษ เพราะมันไม่มีโทษเลย

สำคัญอยู่ที่ว่าต้องเตือนตัวเอง ฝึกตัวเอง ตั้งใจขึ้นมาเอง...มากๆ ...ถ้ามันขาดความตั้งใจที่จะใฝ่รู้ใฝ่ดูเนื้อตัวของตัวเอง กายของตัวเองเป็นบาทฐานนี่...ไม่ต้องถามถึงมรรคผลหรอก 

จะไม่เข้าใจอะไรเลยว่ากูเกิดมาทำไม เหมือนกับที่คนเขาว่าไม่อยากเกิดมาเลย เกิดมาแล้วมีแต่เรื่อง แล้วไม่เกิดก็ไม่ได้ ไม่รู้จะเกิดมาทำไม ...นี่ จะได้รู้สักทีว่าเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร ไม่ใช่เกิดมาเปล่าๆ ปลี้ๆ

เพราะอะไร ...เพราะยังมีคนต่อคิวเกิดอีกเยอะ ลองตายดูดิ ปึ้บเลยสวนมานี่แทนที่เกิดให้ ไม่อดไม่จนเลยนะ หลายดวงจิตที่เขากำลังจะมาอาศัยกายนี้เป็นที่ภาวนาของเขาน่ะ ...แต่เขายังไม่มีโอกาส

ไปผิดพลาดพลั้งเผลอ ไม่ใช่ไม่เคยบวช ...นี่อย่างตัวนี้ นั่นชี นี่ก็พระ ไปสุ่มสี่สุ่มห้าอะไรก็ไม่รู้ กลายเป็นหมาไปซะ...ก็อยากมาเกิดอีก แต่เขาก็ต้องรอ มานอนฟังธรรม สบายดี หนึ่งชาติ ...เอามั้ยล่ะ

แล้วเรามีกาย มีแขนมีขา มีหูมีตา แปลความหมายภาษาได้ ถูกด่าก็เจ็บ ฟังธรรมก็พอรู้เรื่องอย่างนี้ ...แต่ฟังไปแล้วก็ “งั้นๆ น่ะ” ไม่มัน...เอาไปทำแล้วไม่มัน ไม่มีกำลัง

แต่พอฟังแกนนำม็อบนี่ ทำมั้ยมันมีกำลังวะ หือ ...กิเลสเติมกิเลส...มันแรง  กิเลสกับธรรมนี่ มันไม่ค่อยรับกัน ...แต่เมื่อใดจิตเราเป็นธรรม เราฟังแล้วจะรู้เลย มึงไปไกลๆ กูเลย มันเข้ากันไม่ได้ 

มันเข้าไม่ถึง เข้าใจมั้ย ...เหมือนรวงข้าว ที่จะโน้ม จะโน้มธรรม ฟังธรรม  ที่ไหนเป็นอรรถ ที่ไหนเป็นธรรม มันจะเข้าไปหา หูนี่มันจะผึ่งรับ...นอบน้อมต่อธรรม

เนี่ย ถ้าจิตมันเริ่มเป็นธรรม มันก็จะมีความใกล้ชิดต่อธรรม ไม่ใกล้ชิดกิเลส...ทั้งในกิเลสของตัวเอง แล้วก็กิเลสคนอื่น ...นี่ ฝึก จนจิตมันสามารถแยกแยะ 

อันไหนเป็นสิ่งที่เจือปน อันไหนเป็นสิ่งที่หลอกลวง อันไหนเป็นสิ่งที่จะทำให้ตกต่ำ อันไหนเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความเป็นพันธนาการที่ให้อยู่ในโลกต่อไปในภายภาคหน้า ...มันก็จะได้แยกแยะได้ออก

แล้วอะไร วิถีไหนที่มันจะออกจากโลก วิธีไหนที่จะทำให้การเกิดสั้นลงน้อยลง จนถึงขั้นไม่เกิด...เรียกว่าศีลสมาธิปัญญา เรียกว่ามรรค ...มันก็จะเข้าใกล้จุดนั้น แล้วก็พยายามจะเหนี่ยวรั้งกับจุดนั้นไว้ 

นี่เขาเรียกว่าเริ่มมีปัญญาแล้ว แล้วก็ไม่ใช่แค่มีแล้วก็เอามาตั้งไว้บนหิ้ง ไว้บูชา ...ก็เอาปัญญานั่นมาน้อมนำวิถีการดำรงชีวิต การดำเนินชีวิต ให้มันเป็นไปตามวิถีแห่งมรรค วิถีแห่งมรรคที่จะเกิดผล

แข่งกับเวลาตายของตัวเองนะ เราไม่รู้หรอกเวลาตายเมื่อไหร่ ...แข่งกัน จะได้ตายตาหลับ ไม่ต้องมาเกิดใหม่ ...ถึงจะมาเกิดใหม่ก็ยังตาหลับในระดับครึ่งตา 

เพราะว่า เออ กูเกิดน้อยลงแน่ๆ ว่ะ สบายใจหน่อย ...ไม่ใช่ตายแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรเลย ตายแบบกล้าๆ กลัวๆ  สุดท้ายกลัวอย่างยิ่งเลย มืดตึ้บ แล้ว...โอ้โห กูจะไปไหนวะนี่

พระอริยะนี่ท่านรู้ตั้งแต่ก่อนตายเลย ตั้งแต่เบื้องต้น ท่านรู้ตั้งแต่ก่อนตายเลย ว่าตายแล้วยังไง จะเกิดอีกมั้ย หรือจะไม่เกิดเลย...รู้ ...แล้วท่านเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว

ต่อให้ความตายจะมาแบบฉับพลัน ต่อให้ความตายจะมาแบบคาดไม่ถึง...ท่านพร้อม พร้อมที่จะตาย ยืดอกรับด้วยความองอาจ ไม่หวั่นเกรง ไม่ประหวั่นพรั่นพรึงต่อความตายเลย...ตามลำดับของภูมิปัญญา

เพราะนั้นผู้ที่จะไม่กลัวตาย...โดยความกลัวตายเท่ากับศูนย์นี่ มีบุคคลเดียวคือพระอรหันต์ ...ต่ำกว่านั้นลงมายังกลัวอยู่บ้าง จนถึงกลัวมากที่สุดนี่คือปุถุชน

โอ้ย อย่าว่าแต่กลัวตายเลย แค่มีดบาดกูก็กลัวแล้ว...ยังไม่ต้องพูดถึงความตายนะ แค่มีดบาดนี่ น้ำหูน้ำตาไหล เต้นผางๆๆ เลยน่ะ ...เห็นมั้ยว่าแค่นั้นน่ะ ยังห่างไกลความตายเยอะเลยนะนั่นน่ะ

เวทนาตรงที่ได้รับจากมีดบาดตรงนั้นห่างไกลกับเวทนาตายเยอะเลย ไม่รู้กี่ล้านเท่านะ ...แล้วเคสนี้ เคสตายนี่ ทุกคนต้องเจอ...เป็นไฟท์บังคับ ไม่มีอ็อพชั่น ซื้ออ็อพชั่นไม่ได้ ไม่มีตัวเลือก

แล้วเราเกิดมากับซ้ำซากๆ ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ...แต่เราใช้กายในการเป็นเครื่องอยู่เครื่องเรียนรู้นี่น้อยมาก จนบางชาตินี่ละเลยอย่างยิ่ง จนแทบจะเรียกว่าไม่เห็นความสำคัญในการภาวนาเลย แม้แต่อณูหนึ่ง

อันนี้ ความเห็นเหล่านี้น่ากลัว...ท่านเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ ...มันเป็นเครื่องยืน เครื่องยั้ง เครื่องอยู่ต่อเนื่องในภพและชาติแบบไม่ลืมหูลืมตาเลย

วันหนึ่งๆ นี่...จิตนี่อยู่กับเนื้ออยู่กับตัว อยู่กับรู้อยู่อิริยาบถนี่ ได้สักสามสิบเปอร์เซ็นต์นี่...หรู  ไม่ใช่หรูอย่างเดียว โคตรหรูเลยน่ะ ...ไอ้ประเภทอยู่แค่ห้านาทีนี่ ยาจก ขอทาน

แล้วเมื่อไหร่มันจะมีทรัพย์ถึงขั้นหรู เมื่อไหร่จะมีทรัพย์แบบพันล้าน ลืมตาตื่นยันหลับตานอน ไม่ลืมเลยแม้แต่ปัจจุบันขณะของกาย นั่นแหละมหาเศรษฐีพันล้าน มีเงินจับจ่ายใช้สอยซื้อหาปัญญาได้แบบไม่อั้น

แล้วเทียบกับพวกนักปฏิบัติที่...เช้าชาม เย็นครึ่งชาม วันละห้านาที “พอแระ เหนื่อยอิ๊บหายเลย” ...แค่รู้ตัววันละห้านาทีนี่นะ เหนื่อยมากๆ ...ไอ้นี่ยิ่งกว่ายาจก แล้วมันจะเอาเงินที่ไหนไปหาซื้อปัญญา

ทีนี้ก็มารอเศษโปรยทานอยู่อย่างนี้...อิ่มนะ ฟังธรรมแล้วอิ่มดี ...เนี่ย มันต้องรอ มีกำลังขึ้นเพราะอาศัยทาน ท่านโปรยทานหว่านออกมาเป็นธรรม ภาษา บัญญัติ มีกระแสบ้าง ติดปลายนวม

แต่มันไม่ใช่ของตัวเอง ปัญหาก็คือมันเป็นทรัพย์ของคนอื่นเขา อาศัยเขามา ...แล้วเมื่อไหร่จะเป็นเศรษฐี เมื่อไหร่จะเป็นมหาเศรษฐี ตราบใดที่ยังงอมืองอเท้าอยู่นี่

มันไม่ทำงานหาเงินน่ะ ...คือไม่เจริญสติ ไม่สร้างสมกำลังของสติสมาธิขึ้นภายใน แบบทุกลมหายใจเข้าออก...แข่งกับความตาย อย่าไปแข่งเอาชนะกับคนอื่น

ชนะกิเลสตัวเองนี่แหละ ชนะกิเลสความหลงความลืม ชนะกับความขี้เกียจรู้ ขี้เกียจดู ขี้เกียจอยู่กับเนื้อกับตัวนี่แหละ ...แข่ง แล้วเอาชนะมัน ด้วยความเพียร ด้วยศรัทธา ด้วยความบากบั่น 

ด้วยความอดทน ด้วยความไม่ย่อท้อ ด้วยความไม่ขี้เกียจ  มันก็จะพอกพูนทรัพย์สมบัติคือปัญญา สติสมาธิ โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ...ทีนี้อยากกินอะไรล่ะ อยากได้อะไรล่ะ 

คือหมายถึง...ทุกอย่างที่ปรากฏผ่านอายตนะ ผัสสะ ล้วนแล้วแต่เป็นธรรม ไม่มีอะไรขัดขวางธรรม ไม่มีอะไรขัดขวางปัญญาเลย ทุกอย่างที่มากระทบล้วนแล้วแต่เป็นเหตุให้เกิดปัญญาทั้งสิ้น

นั่นแหละมหาเศรษฐี ถ้าในบู๊ลิ้มท่านเรียกว่ากระบี่อยู่ที่ใจ ไม่ต้องมีอาวุธแล้ว ไม่ต้องมีท่าทางแล้ว ...ต่อให้ด่าๆๆ  ต่อหน้านี่ ทุกคำด่าคือธรรมะ ทุกคำด่าคือปัญญาพอกพูน

แต่ถ้าเป็นคนอย่างพวกยาจกเหรอ ด่าๆๆ ทุกคำด่า..โคตรเกลียดมันเลย ทุกคำด่านี่..โคตรโกรธมันขึ้นมาเลย ...นี่ มันคนละเรื่องเลยนะ เขาเรียกว่าใช้ทรัพย์ไม่เป็น

ใช้สิ่งที่มันมีล้อมรอบอายตนะกายใจในสามโลกธาตุนี่ ใช้ไม่เป็น ...ทุกคำชมเป็นธรรมะ ทุกคำด่าเป็นธรรมะ  ทุกคำชมเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ทุกคำด่าเป็นเหตุให้เกิดปัญญาละวาง

จนไม่มีอะไรที่ไม่สามารถจับมาเป็นปัญญาให้เกิดการละการวางเลย แม้แต่ขณะหนึ่ง ...นั่นล่ะมหาเศรษฐี ทรัพย์คือธรรม ...จึงเรียกว่าอัปปมาโณ ไม่มีประมาณ

อย่าประเมินตัวเองต่ำ อย่าประเมินกำลังตัวเองน้อย...ทำได้ ทุกคน ขอให้ทำเถอะ  ไอ้ที่มันไม่ได้เพราะไม่ทำ ...คนที่ฟังธรรมมาก่อนแล้ว...ให้เข้าใจ  คนที่ยังไม่ได้ทำ ไม่เคยฟัง...พยายามเข้าใจ 

มันไม่ใช่ของแบบต้องปีนบันไดฟังหรอก ธรรมไม่ใช่ของสูงส่งเกินเอื้อม ...ก็นั่งอยู่กับมันนี่แหละ ก้อนธรรม เกิดมาพร้อมกับก้อนธาตุก้อนธรรมอยู่แล้ว...แต่ใช้ไม่เป็น แล้วก็มีขุมทรัพย์อยู่แล้วแต่ไม่รู้จักเปิด แค่นั้นเอง

เพราะนั้นไอ้ที่พูดมายาวเหยียดเลยนี่คือ...รู้จักเปิดขุมทรัพย์ดูซะบ้างว่า ข้างในมันมีอะไร ...ความรู้สึกต่างๆ นั่นแหละคือทรัพย์สมบัติที่เขากำลังแสดงคุณค่าในความเป็นกาย

ที่นอกเหนือจากความที่มันแสดงแต่เรื่องที่เดือดเนื้อร้อนใจอย่างเดียว หรือมันหามาแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอย่างเดียว ...มองมันให้ดี มันจะเป็นขุมทรัพย์คือปัญญา

แล้วมันจะออกจากความยึดมั่นถือมั่นว่า กายนี้เป็นเรา กายนี้เป็นของเรา กายนี้เป็นหญิง กายนี้เป็นชาย กายนี้เป็นสัตว์ กายนี้เป็นบุคคล กายนี้เป็นของสวย กายนี้เป็นของไม่สวย

ถ้ามันออกจากความหมายตรงนั้นได้...สบาย  ต่อให้แขนขาดขาด้วน ขาพิกลพิการก็ไม่เดือดร้อน ต่อให้ตายก็ไม่เดือดร้อน ...เพราะไม่ใช่กายเรา เป็นกายโลก เป็นกายที่ยืมเขามา อาศัยกันอยู่

แล้วมันมีพันธะสัญญาแค่ช่วงจำกัดหนึ่งเท่านั้นเอง ก็ไม่เดือดร้อนเมื่อมันตาย เมื่อมันเสื่อม ...เอาแค่นี้ให้ได้เรื่องกาย เรื่องอื่นไม่ค่อยว่า ค่อยว่ากันทีหลัง

เพราะว่าขันธ์ห้าไม่ได้มีแค่กายอย่างเดียว มันมีอีกหลายตัว หลายกอง ...แต่เรื่องกายนี่ เขาเรียกว่าเรื่องหนักอก แน่นอก เรื่องใหญ่มาก ไม่ใช่เรื่องธรรมดา  กว่าจะข้ามกายนี้ กว่าจะทิ้งกายนี้ลง...ปางตาย

เพียรแล้วเพียรเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูแล้วดูอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ...จิตผู้ดื้อรั้น ผู้ดื้อด้าน ผู้ยึดมั่นถือมั่น มันก็ไม่ยอมจะปล่อยมือจากกายนี้ ยังไงก็ยังเป็นเราตั้งแต่หัวจรดตีนอยู่นั่น ไม่ยอมทิ้ง ไม่ยอมคลายง่ายๆ เลย

แต่พอคลายออกหมดสิ้นซึ่งความเป็นเราในกายแล้ว ...สบายมาก ขันธ์ที่เหลือสบายมาก ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกับเรื่องกายนี้เลย

ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนี่เกิดขึ้น ที่เรารับรู้กันอยู่ทุกวันนี้ เนื่องด้วยกาย...เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ...ที่กินไม่ได้นอนไม่หลับก็เพราะเรื่องเนื่องด้วยกายนี้แหละ

ไม่ใช่กายเวทนาอย่างเดียว ...กายที่มีตาหูจมูกลิ้นด้วย มีการกระทบผ่านตาหูจมูกลิ้น นี่คือเรื่องของกายล้วนๆ ทุกข์นี่...ทั้งวันนี่ ทุกข์เพราะกายนี่ ทุกข์เพราะมีอายตนะนี่

เพราะนั้นการภาวนาก็คือการมาเรียนรู้ดูเห็นว่ากายนี่คืออะไรกันแน่ มันเป็นของเราจริงไหม ...ลึกๆ มันก็ยังว่าเป็นของเราอยู่ แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามันไม่ใช่เรา

จนกว่ามันจะเห็นว่ามันไม่ใช่เราในแง่ไหน อย่างไร นั่นแหละปัญญาเกิด ...แล้วไม่ได้หมายความว่าปัญญาเกิดแล้วมันจะเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ กูก็แค่เชื่อแค่ขณะหนึ่ง เดี๋ยวไม่เชื่อแล้ว

เนี่ย ปัญญาเริ่มต้นจะเป็นอย่างนี้ ...แล้วมันก็จะค่อยๆ มาเป็นระลอกๆ แล้วก็หายไป ...แต่ว่ามันไม่หายไปไหนหรอก มันเข้าไปลบล้างแล้ว โดยที่เราไม่รู้ตัวหรอก

มันถูกลบล้างไปแล้ว ถูกลบล้างความเห็นผิด ความยึดมั่นถือมั่นโดยที่ไม่รู้ตัวเลย...ทุกครั้งที่เกิดปัญญาแล้วยอมรับว่า เออ มันไม่ใช่เราจริงๆ นะ แล้วก็หายไปนี่

อย่านึกว่ามันเกิดขึ้นลอยๆ เปล่าๆ นะ ...มันเข้าไปลบ ทุกครั้งที่ปัญญาเกิดนี่ มันเข้าไปลบๆ ลบความทรงจำ ลบความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นเราในเบื้องลึกในแง่ลึกในภายใน...ในตัวของมันเองอยู่แล้ว

ถึงแม้มันจะกลับมาดูเหมือนยึดๆ อยู่เหมือนเดิม ...อย่าท้อ ทำต่อไป เดี๋ยวก็เกิดขึ้นมา บางทีก็เกิดปัญญาใหญ่แบบ...โอ เห็นทั้งกาย เห็นทั้งโลก เห็นทั้งจักรวาลเลยไม่ใช่เรา แล้วก็หายไป

เหล่านี้คือปัญญาที่ค่อยๆ พอกพูนสะสมขึ้น เมื่อเห็นมันหายไปก็อย่าเข้าใจว่า เอ๊ะ ทำไมมันไม่อยู่ ทำไมมันไม่เห็นโดยตลอดสักทีวะ ...ทำไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะไปลบๆๆ

เพราะเราไม่รู้หรอกว่า...ที่เราขีดไว้ ลงเส้นไว้หนักขนาดไหน ที่มันจารึกไว้ในมโนสัญญา...สันดานนี่ ...เอาว่าจนกว่าจะหมดแล้วกันน่ะ  ก็ทำไปเรื่อยๆ ปัญญาก็เพิ่มลิมิทขึ้นๆ ความเบาบางก็เบาบางขึ้น

จนถึงขั้นรู้สึกได้เลยว่า เออเฮ้ย น้อยไปจริงๆ โว้ย นั่น ...นั่นน่ะเรียกว่าปัญญาพอทานกิเลส ปัญญาพอลบล้างกิเลสได้ในระดับที่รับผลได้ด้วยตัวเองแล้ว

ให้เชื่อพระพุทธเจ้า ให้เชื่อพระธรรม ให้เชื่อว่ามรรคนั้นมีจริง ให้เชื่อว่าการปฏิบัตินั้นได้ผลจริง ...อย่าท้อ อย่าคิดว่าเอาเวลาไปทำอย่างอื่นก่อน

หรือคิดว่าเราคงมามุ่งมั่นทางนี้คงไม่ได้เหมือนกับผู้ปฏิบัติคนอื่นเขา หรือครูบาอาจารย์พระอริยะท่านหรอก ...อย่าไปประเมินตัวเองต่ำ ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ นะ

เอ้า เอาแล้ว หนาว ...มีกายให้หนาวให้เห็น ยังดีกว่าไม่มีกายให้หนาวนะ 



......................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น