วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 12/38


พระอาจารย์
12/38 (561219C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
19 ธันวาคม 2556


พระอาจารย์ –  ไม่มีพระอริยะองค์ไหน ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหน สอนให้คนเกิดมาแล้วเป็นคน...แล้วจะให้กลับไปเป็นหมูเป็นหมา หรือเป็นแมว เป็นหมากับแมวคอยไล่กัดกันอีกน่ะ

ท่านไม่เคยสอนน่ะ ท่านสอนแต่จะให้พัฒนาจิต ให้มันมีสมรรถนะ คุณภาพ ...ไม่ใช่ไร้คุณภาพลง หมดสมรรถนะลงไป เสื่อมทรามลงไป ถอยหลังลงไป เข้าคลอง ทุกภพทุกชาติที่เกิดมาเป็นคน

ถ้าถอยลงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็กลายเป็นเดรัจฉาน ถ้าถอยกว่าเดรัจฉานเดี๋ยวก็กลายเป็นอสุรกาย ถ้าถอยหลังจากอสุรกายก็เป็นเปรต ถอยจากเปรตไปเป็นสัตว์นรก

ท่านไม่เคยสอนให้ถอยหลังนะ ท่านมีแต่สอนให้พัฒนาขึ้น ...อย่างน้อยไปสุคติ อย่างกลางอย่างธรรมดาก็กลับมาเป็นคน อยู่เป็นคน ที่มีฐานะผิวพรรณดีขึ้น...นี่ถ้าพูดในแง่ของบุญน่ะ

มากกว่านั้นก็เป็นเทวดา มี ๗ ชั้น เป็นพรหม รูปพรหมก็มี ๑๖  อรูปพรหม นี่สูงขึ้นนะ ข้ามอรูปพรหมไป จนเป็นอริยกะ อริยะบุคคล จนเหนือสุดของอริยะบุคคล เป็นพระอรหันต์นี่ จบ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็จบ

นั่นน่ะพระพุทธเจ้าสอนให้ไปในที่ที่ดีที่ชอบ ขึ้นไปเรื่อยๆ ...เหล่าสงฆ์สาวกพระอริยะ สงฆ์สาวกก็สอนเหมือนพระพุทธเจ้า ท่านเลียนแบบ ท่านเอามาเป็นเยี่ยงอย่างคำสอน

ท่านไม่เคยสอนให้ตกต่ำ ท่านไม่ได้สอนให้จิตมันไร้คุณภาพ หมดสมรรถนะลงไปเรื่อยๆ ...ก็เคี่ยวกรำ เคี่ยวเข็ญ ด้วยคำพูดการสอน...เพราะมันทำให้ไม่ได้ ทำให้กันไม่ได้

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านยังรู้เลย  พระอริยะท่านยังรู้เลยว่ามันทำให้กันไม่ได้ มันไปแก้ให้กันไม่ได้ ...มีแต่ไอ้คนในม็อบน่ะที่มันคิดว่ามันแก้คนอื่นได้

ครูบาอาจารย์ท่านก็จะได้แต่บอกว่า ไปทำเอาเองนะ ...ก็พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนปากเปียกปากแฉะ จนปากจะถึงหูแล้วนี่ มันก็ยังเอาแต่จะไปเป่านกหวีด บูชาลัทธิ

ลักษณะอย่างนี้ท่านเรียกว่าลัทธิ หรือว่าเดียรถีย์ มันเป็นลัทธิ ...จนมันกลบ กลบฝังเลยน่ะ ศีลสมาธิปัญญาของพระพุทธเจ้าดูดิ ดูเอาเอง ดูเนื้อดูตัวของตัวเองดูสิ 

แล้วนี่ พวกเรานี่ ...ดูบลูสกายใช่มั้ย ตอนดูบลูสกายรู้ตัวมั้ย รู้ว่ามีตัวนั่งมั้ย...เห็นมั้ย กลบเลย ...หรือใครดูเอเชียอัพเดท เหมือนกันน่ะ...กลบเลย ตัวไม่มี ศีลไม่มี

มีแต่ความมุ่งมั่น กระเหี้ยนกระหือรือ แบบฮิตเล่อร์ มุ่งไปข้างหน้า ไม่รู้ที่ไหน ไป...ที่ไหน ไม่รู้อ่ะ เขาว่าให้ไปก็ไปล่ะวะกู ฮิตเล่อร์ ...เห็นมั้ยว่ามันกลบหมดเลย

พอง่วงนอนแล้วปิดโทรทัศน์ทั้งเอเชียอาบแดด ทั้งบลูตะกาย ...ก็ยังไม่หลับ จิตยังวนอยู่ ฝันว่าได้ล้มล้างเขาแล้วประเทศไทยสูงขึ้นอีกตั้งหนึ่งเมตร ฝันหวาน ...นี่ จิตยังกำเริบตามหลังอีกนะ

ขนาดว่าเจอของสดๆ กูก็ยังไม่รู้ตัว  ของสดกลายเป็นของแห้งไปแล้ว กูก็ยังไม่รู้ตัว ...เห็นอานิสงส์ไหมนั่น เห็นอานิสงส์ของเดียรถีย์มั้ย เห็นอานิสงส์ของลัทธินอกศาสนามั้ยล่ะ

ไอ้สมบัติภาวนาที่อุตส่าห์ก่อร่างสร้างมา นี่แบกสังขารมานะนี่จากโคราช ใช่มั้ย ...ได้ไปนิ๊ดนึง กูกะว่าจะทำให้มันเต็มซะหน่อย กลับไปเปิดบลูตะกาย...เสร็จ หมดเลย เกลี้ยง แถมมันเอาของเก่าไปกินหมดเลย (หัวเราะกัน)

กว่าจะตั้งเนื้อตั้งตัว กว่าจะตั้งลำตั้งรู้ตั้งกายขึ้นมา เหนื่อยเหมือนหมาหอบแดดน่ะ ...แล้วก็ได้มาแบบ...เท่าเนี้ย เท่าขี้ตาเล็นน่ะ ...มันอดไม่ได้ ที่จะต้องตะกายไปตามบลูตะกาย

เห็นมั้ย อำนาจของความอยากมันทานไม่ไหวนะ มันทานไม่อยู่น่ะ ...ถ้าเราให้กำลังกับมันน่ะ มันก็มีกำลังเหนือศีลสมาธิปัญญาอยู่วันยันค่ำคืนยันรุ่งน่ะแหละ

คือที่พูดบลูตะกายเยอะเพราะมันกำลังฮิต ...เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน เดี๋ยวต่อไปนะ เดี๋ยวมีเสื้อแดงมาเราก็จะได้พูดเอเชียอาบแดดอีก มันเป็นตามเทรนด์ เข้าใจรึเปล่า

มันไม่ใช่ว่าจงเกลียดจงชังใครเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กูเกลียดมึงทั้งโลกน่ะ บอกให้ มึงมาเกิดทำไมวะเนี่ย ไล่ๆ มันไปซะ มันจะได้ไม่มาเกิด ...นี่น่ะอยากจะไล่ให้ไม่ต้องมาเกิดนะนี่

ที่เทศน์นี่ ที่สอนนี่ ไม่เอาหมดน่ะ ไม่เอาความมาเกิดเป็นคน ...เห็นมั้ย มันเดือดร้อน เกิดมาเป็นคน เดือดร้อน หาแต่เรื่อง มีแต่เรื่อง แล้วก็เอาแต่เรื่องมา อย่างเนี้ย

มันจะมาเกิดทำไม ไล่ๆ มันไปซะ ...ไอ้ที่สอนนี่ไล่ไม่ให้มันต้องมาเกิด จะได้ไม่ต้องมาเจอหน้าเจอตากันอีก ต่างคนต่างไปซะ...ไม่ใช่ไปลงนรก ไปนิพพาน ไล่มันไปนิพพาน

ก็ไม่ไปอ่ะ เกาะติดอยู่หน้าจออยู่นั่นน่ะ คอยว่าศาสดาท่านจะสั่งอะไรลงมา จะเคลื่อนขบวนวันไหน ...นี่ อาจารย์สอนไรอ่ะ ฮึ ไว้ก่อน...ให้ยึดประเทศไทยได้ก่อน เดี๋ยวค่อยภาวนาต่อ

เมื่อไหร่มึงจะยึดได้สักทีล่ะ...กูจะตายแล้ว (หัวเราะกัน) กู๊นี่จะตายก่อนมึงยึดประเทศไทย แล้วมึงจะได้ฟังกูมั้ย คงไม่ได้ทันฟังน่ะ ...ก็ไม่รู้ ประเทศไทยมันตรงไหนก็ไม่รู้ ไอ้ที่นั่งอยู่นี่ประเทศไทยรึเปล่า

แอ๊ะ ฟังเทศน์มาตั้งนานมันยังบอกนั่งอยู่บนประเทศไทย ไหนประเทศไทย กูยังไม่เห็นเลยนี่ หือ ...มีแต่พื้นแข็งๆ หือ มันบอกว่าประเทศไทย เชียงใหม่ เชียงดาว ...นีี่ มันบอกมั้ย

ถามมันหน่อย ถามมัน ยืนยันมาหน่อย ขอคำยืนยัน หือ ...ไม่ต้องถึงประเทศไทยก็ได้ ตรงเนี้ย มึงว่าเชียงดาว ถามมันหน่อย ...ถ้ามันพูดมาว่าเชียงดาว เนี่ย จะเชื่อ

นี่ของจริงนะนี่ เราไม่ได้เอาของโกหกมาบอกว่า “นี่เป็นประเทศไทยของเรา” ...ตรงไหนวะ กูนั่งกูยังไม่รู้เลยว่ากูนั่งอยู่บนประเทศไทย กูนั่งอยู่บนเก้าอี้ นี่ นั่งบนเก้าอี้ ไม่ได้นั่งบนประเทศไทย

นั่งบนไอ้นุ่มนี่ นั่งส่องมานานแล้วประเทศไทยมันอยู่ตรงไหนวะนี่ หาไม่เจอน่ะ ก็เลยไม่ได้ออกไปเป่านกหวีด ไม่รู้จะไปรักษาประเทศไทยให้ใคร เลยโดนด่าไอ้พวกไม่รักชาติ

เสือกมาด่าพระว่าไม่รักชาติ ...นี่ มีพระตั้งหลายองค์ที่ไม่ไปเป่านกหวีด เพราะว่ามัวแต่เดินจงกรมอยู่ ก็เลยไม่มีเวลาไปเป่า ถูกด่าไปโดยปริยายว่าไม่รักชาติ

ที่จริงท่านก็ไม่รักหรอก เพราะท่านหาชาติไม่เจอ ...อย่าว่าแต่ชาติประเทศเลย ชาติภพแห่งการเกิด ท่านยังหาไม่เจอเลย ...หา “เรา” ยังไม่เจอเลย

คือนั่งหลับตาก็นั่งหลับตาหา “เรา” เดินจงกรมก็เดินหา “เรา” ...ระหว่างเดินจงกรม เดินกลับไปกลับมานี่ จนแผ่นดินสึกไปหมดนี่ ก็เดินไม่ใช่เดินอะไร ไม่ได้เดินเอาอะไร...เดินหา “เรา”

หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ถึงได้มาบอกพวกหน้ากากขาวนี่ ว่าหา "เรา" ซะบ้าง อย่ามัวแต่หาประเทศไทย ...หา “เรา” ก่อน ให้หา “เรา” ให้เจอว่ามันอยู่ตรงไหน หือ

อยู่ตรงหน้ามั้ย ตรงผมมั้ย ตรงหัวเข่ามั้ย ตรงหนังมั้ย ตรงเลือดมั้ย ตรงปวดมั้ย ตรงเมื่อยมั้ย ตรงหนาวมั้ย ...ดูดีๆ สิ หาดูดีๆ มันหาเจอมั้ย...ที่เคยเห็นว่ามี 

แต่พระพุทธเจ้าบอกไม่มี พระพุทธเจ้าบอกไม่มีนะ ท่านบอกไว้เลย ท่านวางหลักไว้เลย...ไม่มี ไม่มีเราในกาย ไม่มีเราในขันธ์ ไม่มีเราในสามโลก ...นี่ พระพุทธเจ้าท่านพูดไว้อย่างนี้

พระสาวกท่านเชื่อพระพุทธเจ้า ท่านไม่เชื่อคนอื่น ท่านก็เดินหาแล้วหาอีก หาไปหามา...เออ ไม่เจอจริงๆ โว้ย ...เถียงไม่ได้เลย เถียงพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย

ก็เลยมาสำทับคำกล่าวอ้างของพระพุทธเจ้าหรือพระธรรมของท่านว่า พระพุทธเจ้าท่านพูดจริงนะ ท่านไม่พูดอะไรเลื่อนลอย ท่านไม่พูดสิ่งที่ไม่มีจริง ไม่เกิดจริง ไม่ปรากฏจริง 

แล้วท่านบอกว่า ชนะแล้ว ...นี่ ไม่ผัดวัน ไม่ประกันพรุ่ง วันนี้ชนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ชนะอีก ท่านชนะครั้งเดียว ชนะกิเลส แล้วท่านก็ถึงบอกว่าชนะแล้ว...ชิตังเม

ภพชาตินี้จบแล้ว ลาแล้ว ลาโลกแล้ว ไปไม่กลับ ...ทำไมท่านถึงลาได้ ทำไมท่านถึงไม่กลับมาได้ ...เพราะท่านไม่เห็นอะไรในโลกนี้เลย ที่ตั้งอยู่จริง

ตั้งแต่ขันธ์ห้านี้ออกไปจรดสามโลกธาตุ ท่านเห็นเหมือนมายา เหมือนภาพลวงตา หาสาระไม่ได้ เหมือนพยับแดด เหมือนไอหมอก เหมือนน้ำค้างกลางหาว

ท่านไปโดยที่ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย แม้แต่อณูหนึ่งในธาตุขันธ์ แม้แต่อณูหนึ่งในสามโลก ...นั่นน่ะท่านถึงไม่กลับมาอีก

ไม่มีแม้กระทั่งอุดมการณ์เหลือไว้...ในจุดใดจุดหนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ...ท่านลบสิ้นจากใจหมดเลย มันถูกลบสิ้นจากใจหมด

ไม่มีเป็นจุด ไม่มีเป็นกระ ไม่มีอะไรกระด่างกระดำ ไม่มีอะไรแฝงเป็นมลทิน แม้แต่อณูหนึ่งเลย ...นั่นน่ะท่านถึงเรียกว่าใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้มลทิน

ที่พูดที่สอนนี่เพื่อให้ไปถึงจุดนั้น...ไปไม่ได้ก็ไป ก็ต้องไป ไปได้ก็ให้ไปซะ ไม่ได้ก็ต้องไป ...อย่ามาคลุกเคล้ากันอย่างนี้ กับเรื่องราวเลอะเทอะไร้สาระ ไม่มีวันจบ เหมือนวงกลม

หมดนั่นก็มีนี่ใหม่ หมดกลุ่มนั้นก็มีก๊กนี้มาใหม่ หมดรัฐบาลนี้ก็มีรัฐบาลใหม่ มันหาที่สุดไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ นี่ ฟังนะพระพุทธเจ้าท่านบอกเลย

ท่านบอกว่า โลกคือความบกพร่อง เติมไม่เต็ม มีความบกพร่องเป็นนิจ คือไม่สมดุล ไม่สมบูรณ์ ...จะหาความสมบูรณ์เพอร์เฟ็คในโลกน่ะไม่มี มีแต่ความบกพร่องอยู่เสมอ เป็นวัตร เป็นนิจ

เมื่อมันบกพร่องอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านว่าให้ทำยังไง ...ท่านบอกไม่ต้องไปทำอะไรหรอก ท่านบอกให้วางซะ ให้มันเป็นไปตามสภาพของมัน

โลกมันจะหมุนช้า โลกมันจะหมุนเร็วนี่ หรือมันจะหมุนทวนกลับมานี่ มีสิทธิ์อะไร ที่จะไปแก้ไขได้ นั่น มันมีความบกพร่องในตัวของมันเอง ...มันไม่ใช่เรื่องผิด มันไม่ใช่เรื่องถูก แต่มันเป็นเรื่องจริง 

แต่มนุษย์น่ะมันไม่จริง ไอ้ “เรา” น่ะมันไม่จริง มันไม่ยอมรับความจริงนี้ มันจะรับแต่ความจริงตามที่มันอยากให้จริงอย่างมันว่า เนี่ย แล้วต่างคนต่างมีความจริงส่วนตัวตามมันว่า 

มันถึงเกิดสงครามไง มันถึงเกิดความขัดแย้งไง ...ถ้าทุกคนยอมรับความเป็นจริงนี่ อะไรมันจะเกิด อะไรมันจะดับ อะไรมันจะมากขึ้น อะไรมันจะน้อยลง ไม่ใช่ธุระของเรา

การแก้ที่ภายนอก การแก้เรื่องราวภายนอก การแก้ที่บุคคลภายนอกนี่ มันแก้ไม่ได้ ...แต่การกิเลสตัวเองน่ะแก้ได้ แก้ความไม่รู้ของตัวเอง..แก้ได้ แก้ได้ด้วยศีลสมาธิปัญญา

แล้วทุกคนนี่ ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนมีศักยภาพที่แก้ได้ทุกคน ...เพราะนั้นอย่าให้การเกิดมาแล้วมีกายมีขันธ์นี่ เปรียบเสมือนไก่ได้พลอย ไม่รู้จักคุณค่าของพลอยหรือเพชร

เนี่ย กายเขากำลังแสดงความจริงอยู่ว่าหนาว กายนี่ อะไรกระทบอย่างไร เขาก็แสดงอย่างนั้นแบบตรงไปตรงมา แล้วในความหนาว ในลักษณะหนาว เขาก็แสดงความเป็นจริงว่าไม่ใช่ใครของใคร ไม่ได้โกหกปกปิดอะไรเลย

แล้วทุกคนมีอยู่...มีความจริงนี้อยู่ ...แต่อยู่กันแบบ เอาหูไปนา เอาตาไปไร่  ไม่อดทนตั้งมั่น สอดส่อง สังเกต แยบคาย โยนิโส ว่าอะไรมันหนาว...เราหนาว หรือกายหนาว หรือมันไม่มีหนาว ไม่มีแม้กระทั่งหนาว 

มีแต่ลักษณะอาการเงียบๆ ...ไม่ได้บอกว่าเป็นใครของใคร ไม่มีเพศ ไม่มีวรรณะ ไม่มีสถานะ ไม่มีปริญญาตรี โท เอก ไม่มี ป.๔ ไม่มีไร้การศึกษา

แล้วเขาไม่ได้แสดงแค่หนาวนะ ...แข็งๆ นี่ ไอ้ที่นั่งอยู่นี่ เป็นก้อนแข็งทั้งก้อน เป็นก้อนเวทนาทั้งก้อน เขาก็แสดงความเป็นก้อนเวทนาทั้งก้อนให้เห็น

ในก้อนที่มันแข็งทั้งก้อนนี่ ที่รู้สึกว่าเป็นก้อน กอง ขลุกรวมอยู่นี่ ...มันก็ไม่ได้บอกว่าเป็นใครของใคร เห็นมั้ย เขาก็แสดงให้เห็นตรงไปตรงมา

แต่มันไม่เอาเวลาที่เราใช้กันในหนึ่งวัน ในหนึ่งชาตินี่...มาสังเกต มาสอดส่อง มาเรียน มารู้ มาดูมาเห็นมัน ซ้ำๆ ลงไป 

อย่าเบื่อ อย่าบ่น อย่าท้อ อย่าหนีจากความจริงนี้ แล้วไปหาความจริงอื่น...ซึ่งไม่รู้อยู่ที่ไหน แล้วไม่รู้มีอยู่จริงมั้ย...มาทดแทนความเป็นจริงนี้อยู่ตลอด

ซึ่งเราก็ยืนยันว่านั่นไม่มีจริง อันนี้จริงกว่า...หรือใครเถียงว่าไม่หนาว ว่าหนาวไม่มีอยู่จริงตรงนี้ ...หรือมันมัวแต่จะไปหาสภาประชาชนข้างหน้า นั่นจริงมั้ย อันไหนจริงกว่ากัน

เนี่ย ทำไมชอบไปอยู่กับความเท็จ ทำไมชอบไปอยู่กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ...ทำไมไม่อยู่กับสิ่งที่มันแสดงอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ปัจจุบันนี้

พระพุทธเจ้าสอนอย่างเดียว สอนความจริง วิธีการปฏิบัติอย่างเดียวที่พระพุทธเจ้าบอก ก็คืออยู่กับความเป็นจริงให้ได้ พระพุทธเจ้าบอกให้ละให้ทิ้งสิ่งที่ไม่จริง

เห็นมั้ย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอะไรพิสดารเลย ไม่ต้องเรียนนักธรรมเรียนมหาเปรียญด้วย ไม่ต้องไปอ่านพระไตรปิฎกด้วย ...นี่ หลักการสอน หลักการปฏิบัติก็มีอยู่ตรงเนี้ย พระพุทธเจ้าสอนแค่เนี้ย โดยหลัก

แต่ไอ้หลักแค่เนี้ย ทำไมมันทำไม่ได้ ทำไมมันทำได้แล้วทำไม่ต่อเนื่อง ...อันนี้คือจุดบกพร่องของตัวเอง อันนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่าช่วยไม่ได้ ต้องขวนขวายในจุดที่มันบกพร่องของตัวเองน่ะ

เพื่อให้เห็น เพื่อให้อยู่ในหลักความเป็นจริงนี้ เพื่อให้อยู่กับหลักความเป็นจริงนี้ เพื่อให้ละสิ่งที่มันนอกเหนือจากความเป็นจริงนี้ ด้วยความพากเพียรไป

จะไปหกคะเมนตีลังกากลับหน้ากลับหลัง หกหน้าหกหลัง เอามือเดินต่างตีน เอาหัวเดินต่างตีนก็ไม่ว่า ...ขอให้มันอยู่ในหลักนี้ แล้วก็จับหลักนี้ให้ได้ หลักความเป็นจริงอันนี้

แล้วก็รักษาความต่อเนื่องกับความเป็นจริงนี้ ให้ไม่ขาด ให้ไม่เว้น ให้ไม่ห่าง ให้ไม่หาย ...แล้วมันจะดีเองน่ะ แล้วมันจะดีขึ้นไปเองน่ะ

ดีขึ้นคืออะไรดีขึ้น...ไม่ใช่เก่งกว่าคนอื่น ...แต่ปัญญาจะดีขึ้น ปัญญาก็คือรู้เห็นความเป็นจริงชัดเจนขึ้น ปัญญาก็คือยอมรับความเป็นจริงได้มากขึ้น 

ปัญญาก็คือไม่โต้เถียงกับความเป็นจริงนี้มากขึ้น ไม่ต่อต้านกับความเป็นจริงนี้มากขึ้น ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขความเป็นจริงนี้มากขึ้น จนถึงขั้นที่เรียกว่า...ต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน 

นั่นแหละผลของการปฏิบัติ ...เมื่อใดที่มันต่างคนต่างอยู่กับขันธ์ เมื่อใดที่มันต่างคนต่างอยู่กับโลก รู้เองน่ะ มันสบายดีมั้ย นั่น ไม่ต้องถามใครแล้ว


(ต่อแทร็ก 12/39)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น