วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 12/39


พระอาจารย์
12/39 (561219D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
19 ธันวาคม 2556


พระอาจารย์ –  มื่อมันต่างคนต่างอยู่ เวลามันจะต่างคนต่างไป ก็ไม่เดือดร้อน ...ยังไงพวกเราก็ต้องเจอสภาพ “ต่างคนต่างไป” นี้...แต่มันเดือดร้อน ไม่ยอมจากกัน ไม่ยอมพรากจากกัน

โศกาอาดูร คร่ำครวญ เวทนา อาลัยอาวรณ์ ดื้อแพ่ง ไม่ยอมรับ ขัดขวาง กระเสือกกระสน ทุรนทุราย ..ซึ่งเขาไม่ฟัง เขาก็จะไป เขาไม่อยู่เพราะความคร่ำครวญ เขาไม่อยู่เพราะความว่าไม่สมควรแก่เวลา 

แล้วเราพร้อมไหมล่ะที่จะรับกับสภาพนี้ เตรียมได้พร้อมรึยัง ...หรือเอาเวลาที่มันควรจะใช้เวลาตระเตรียมให้พร้อมซะตั้งแต่หัววันนี่ กลับไปหมดเรี่ยวแรงมุ่งมั่นจริงจังกับอะไรกันอยู่

ความตายที่อยู่เบื้องหน้าทุกผู้ทุกคนนี่ ความพลัดพรากจากของรักของหวง คือลูกเต้าหลานเหลน บ้านเรือน ทรัพย์สมบัติ ...จะต้องเจอเป็นเบื้องหน้าอยู่แล้ว เราจะต้องพลัดพรากจากมันอยู่ตายตัว

แต่ในเรื่องการเมืองใครมันจะกลับหรือไม่กลับมานี่ไม่สำคัญหรอก เข้าใจมั้ย แต่ไอ้ความตาย ความพลัดพรากอย่างนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องเจอเบื้องหน้าทุกคน...เหมือนกัน 

แต่ไม่เตรียมกายเตรียมใจไว้รับกับสภาพนั้นเหรอ ...เราถึงบอกว่ามันน่าเสียดายเวลาที่หมดไป แต่ละวันๆ เอาคืนก็ไม่ได้ ไอ้เวลาที่มันหมดไป หมดไปกับอะไรที่ไม่มีสาระนี่ 

มันเอาคืนไม่ได้นะ ...เพราะนั้นแทนที่จะใช้เวลานั้นน่ะ เพื่อตระเตรียมปัญญาเป็นเสบียงกรัง ความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ ความยอมรับกับสภาพที่จะต้องเจอนี้น่ะ

ซึ่งมันจะต้องใช้เวลาในการสร้างสม สะสมภูมิปัญญา...ด้วยการปฏิบัติภาวนา  มันจึงจะเกิดภูมิปัญญาที่ยอมรับสภาพขันธ์ตามความเป็นจริง ยอมรับสภาพโลกตามความเป็นจริง

ยอมรับว่าทุกอย่างที่มีการเกิดต้องมีการดับเป็นธรรมดา ทุกอย่างที่มีการเกิดต้องมีการแปรปรวนเสื่อมไปเป็นธรรมดา ...ซึ่งถ้ามันไม่มีปัญญา มันจะไม่สามารถยอมรับกับสภาพที่จะต้องเจอกันทุกคนนี้ได้

มันจะตายแบบห่วงหาอาวรณ์...กระทั่งร่างกายของตัวเองแล้วก็ร่างกายของคนอื่น แล้วก็ยังห่วงสภาพบ้านเมืองอีก ห่วงว่ารุ่นลูกรุ่นหลานมันจะมาเจอกับอะไร

เอาล่ะมึง เขาเรียกว่า...ตายตาไม่หลับ ตายแบบไม่อยากตาย ตายแบบยอมรับไม่ได้ในการตายครั้งนี้ ...แล้วยังไง ...ไม่ไงอ่ะ เกิดใหม่ดิ เพราะมันยอมรับไม่ได้กับการตายครั้งนี้

นั่นน่ะเงื่อนงำของการเกิดตาย ...และทุกภพทุกชาติที่ตายน่ะ มันก็ไม่สามารถจะวางอะไรได้ มันมีความรู้สึกที่ว่ามันไม่สมควรตายทุกครั้งเลย ...มันว่าของมันอย่างงั้นน่ะ 

ไม่เรื่องนี้ก็เรื่องนั้น ไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้ ไม่ระบอบนั้นก็ระบอบนี้  เดี๋ยวหมดระบอบไอ้พวกนี้นะ เจอระบอบไหนก็ไม่รู้  คือมันจะมีอยู่ตลอดนั่นแหละ 

ตราบใดที่ยังมาเกิดวนเวียนท่องเที่ยวอยู่ในโลกนี้ ก็จะต้องเจอทุกภพทุกชาติไป ...แล้วถ้ามาเกิดในอนาคต จะไปเจอที่ไหนก็ไม่รู้ จะไปเจอระบอบไหนก็ไม่รู้ 

ซึ่งมันไม่มีทางว่าจะถูกใจทุกครั้งไปหรอก อาจจะถูกใจบ้างบางครั้งแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ...นี่คือโลก นี่คือความเป็นจริงของโลก เขาเปลี่ยนแปลง เขาแปรปรวนอยู่เสมอ

ถ้ามันไม่เปลี่ยนแปลงแปรปรวนนะ ทุกวันนี้ไม่มีรถขี่หรอก ขี่เกวียนแล้วกัน ขนาดขี่เกวียนแต่ก่อนไม่มีเกวียนก็เดินเอา ...นี่ถ้าโลกมันเที่ยงนี่ ป่านนี้ก็เดินมาฟังธรรมแล้ว ใช่มั้ย

มันไม่มีอะไรคงตัวเลย มันแปรปรวนหมุนเวียนของมันไป ...ต่อไปเวลามาฟังธรรม เราอาจจะเข้าเครื่องสลายมวลธาตุแล้วก็มาพึ่บอยู่ตรงนี้เลยก็ได้ ...ไม่แน่

แต่ที่รู้ๆ น่ะ เกิดตายแน่ๆ ถ้ายังไม่มีปัญญา ก็ต้องมาเกิดตายๆๆๆ ซ้ำๆๆๆ แล้วก็มาลิ้มรสกับวิวัฒนาการเทคโนโลยี ...ไอ้เรื่องราวมากมายก็เพราะไอ้เทคโนโลยีนี่แหละ มันรู้เร็ว แต่รู้เร็วแบบลวกๆ

ถ้าเป็นสมัยหลวงปู่มั่นน่ะ เวลาคนหมู่บ้านนี้มันตาย อีกหมู่บ้านหนึ่งนี่กว่าจะรู้อีกห้าวันได้มั้ง กว่าเขาจะเดินมาบอก พอดีเผาแล้ว ...แต่เดี๋ยวนี้มันรู้ตั้งแต่ก่อนตายน่ะ

เนี่ย มันไว จิตพวกเราเลยไวมาก ไวเกินไป มันไวเกินไป ยังไม่มีอะไรเกิดทั้งนั้นน่ะ ร้องไห้แล้ว...มันต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ เลย ...ไวเกินไป ข่าวมันมาถึงเร็วเกินไป

เวิร์ลไวด์เว็บดอทคอม ลงทะเบียนจ่ายเงินแบบไม่ยอมให้ขาดเลย กลัวถูกตัดข้อมูลข่าวสาร ...มันก็จะเชื่อมลิงก์ๆๆ ตาหูจมูกเสพข่าวจนหนักอึ้งเลย...เครียดโว้ยๆ

ฟังข่าวเสร็จก็ดันบ่นอีก โคตรเครียดเลย ...จะบ่นทำไม หือ จะบ่นทำไม ใครทำมึงล่ะ หือ หูมันบอกว่า เฮ้ย พากูไปฟังหน่อย ตามันบอกเหรอ เฮ้ย กูอยากดูนะ บลูตะกาย ...มันบอกไหม ใครล่ะ

แต่เวลารับข้อมูลแบบเวิร์ลไวด์เว็บ ทุกทิศทุกทาง...เสร็จ จะนอนนี่ หนัก โคตรเครียดเลย เครียดจริงๆ ...เนี่ย ปัญหามันอยู่ที่ใครล่ะ ปัญหามันอยู่ที่ไอ้ข้อมูลนั้นเหรอ ปัญหามันอยู่ที่ลูกตา ปัญหามันอยู่ที่หูเหรอ

นี่ถ้าไม่มีปัญญามันก็จะเข้าใจว่าปัญหามันอยู่ที่นั้นที่นี้ คนนั้นคนนี้...นี่ๆ เพราะมันมีไอ้นั่นอีนี่ ลูกหลานมันไอ้นั่นไอ้นี่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ...มันก็จะว่าไอ้นี่ปัญหา

แต่ถ้ามีปัญญา...ปัญหามันอยู่ที่ “เรา”  ถ้าเราไม่ลุกขึ้นไปเปิดจอนี่ มันจะมีข้อมูลไหม ...เนี่ย มานั่งอยู่ตอนนี้ เห็นมั้ย มีอะไร มีแต่สายลมกับแสงแดด ตอนนี้แสงแดดก็โรยไปแล้ว ...นี่ มีอะไร


โยม –  ลมหนาว

พระอาจารย์ –  เออ ลมหนาวพัดมา ...ไม่มี ข้อมูลข่าวสารไม่มี  เสื้อแดงเสื้อเหลืองอะไร...ไม่รู้ ไม่มี ไม่มีความจริงนั้น มีแต่ความจริงแค่นี้...“หนาวว่ะ เมื่อกี้ยังไม่หนาวเท่านี้เลย" 

นี่ เห็นมั้ย มันเปลี่ยนมั้ยนี่ ...แต่ลึกๆ น่ะ จิตมันกระสัน “ม็อบมันไปถึงไหนกันแล้ว” เนี่ย หาเรื่องทุกข์นะ ...แล้วไอ้ตัวนี้ที่มันหาเรื่องทุกข์นี่ ถามว่า...จะเอามันไว้ทำพันธุ์ทำไม หือ

จะเก็บมันไว้ทำพันธุ์ เก็บไว้ให้มันแพร่เผ่าพันธุ์ไปทำไม ทำไมไม่รู้จักคำว่าฆ่าล้างโคตรมันบ้าง ...เออ ถ้ามันไม่มีตัวนั้นน่ะ ก็อยู่แค่สายลมแสงแดด ไม่เห็นมีปัญหาอะไร

แต่ทุกข์นะ ก็ยังทุกข์อยู่นะ ขนาดไม่มีปัญหา...ก็ยังหนาว แล้วมีเราหนาวนี่ก็ทุกข์จะตายอยู่แล้ว ยังจะไปเอาเรื่องทุกข์มาซ้ำซ้อนลงไปอีก ...ซึ่งเป็นทุกข์ที่ไม่จริงน่ะ ซึ่งไม่ต้องหาทุกข์ตรงนั้นก็ได้ มันไม่มี

นี่ พระพุทธเจ้าต้องการให้รู้จักไอ้ทุกข์ตรงนี้...ทำไมมันถึงหนาว ทำไมถึงมี “เราหนาว” ...ท่านให้แก้ตรงนี้ ท่านไม่ได้ให้แก้คนอื่น ท่านไม่ได้ให้ไปแก้ความผิดความถูกของโลก

ท่านให้แก้ตรงนี้...ทำไมมันถึงหนาว ทำไมถึงเป็นทุกข์กับความหนาว  กายมันทุกข์เหรอ  ใครมันทุกข์ ...แล้วมันจริงๆ แล้วใครทุกข์ มีใครทุกข์จริงมั้ย

พระพุทธเจ้าบอก ดูลงไปดีๆ  ขา...มันบอกมันหนาวรึไง หรือมันเป็นแค่หนาว หรือมันเป็นแค่อาการหนึ่ง แล้วก็มีอีกอาการหนึ่งที่รู้ว่ามีอาการนี้อยู่

ถ้าไม่เพียรเพ่งจดจ่ออยู่ในกรอบวงนี้ มันก็จะเป็นเราหนาวจนวันตายนั่นแหละ ...แต่ถ้ามันจดจ่อจริงจัง แยบคาย แยกแยะออก...อ๋อ เข้าใจแล้ว ไม่มีใครหนาว มีแต่กายหนาว

ไม่ใช่กายใคร กายก็เป็นกาย สักแต่ว่ากาย หนาวก็เป็นหนาว สักแต่ว่าหนาว รู้ก็เป็นรู้ สักแต่ว่ารู้...เออ จบ จบแบบ Happy ending ไม่มี To be continue

แต่ถ้าไม่ดูด้วยความต่อเนื่อง มันไม่มีวันจบ...มันจะไปจบที่อื่น ที่มันนอกเหนือจากความเป็นจริงที่มันปรากฏ ณ ปัจจุบันนี้

เพราะนั้นไอ้ตัวที่มันยากในเบื้องต้นก็คือว่า ทำยังไงมันถึงจะมาอยู่กับความเป็นจริงนี้ได้...ทั้งวันตลอดวัน ทั้งเดือนตลอดเดือน ทั้งปีตลอดปี ตลอดหลายปีน่ะ ทำยังไง

ไม่ต้องคิดหรอก...ทำมันเลย ทำมันตรงนี้เลย ...ลืมไป เผลอไป เอาใหม่ กายมันไม่หนีไปไหนหรอก อาการในกายมันไม่หนีไปไหนหรอก มันก็มีของมันจนวันตายทุกลมหายใจเข้าออก

อย่าไปกลัวความจริงที่มันกำลังแสดง ...มันกำลังแสดงความจริง อย่าไปกลัวมัน อย่าไปกลัวหนาว อย่าไปกลัวร้อน อย่าไปกลัวเจ็บ อย่าไปกลัวไม่สบายกาย อย่าไปกลัวทุกข์ในกาย อย่าไปกลัวมัน

เขาเหมือนครู ที่สอน ที่บอกเล่า ความเป็นจริง โดยไม่เสียอรรถเสียตังค์ …แต่ความรู้ที่เราเรียนกันมานี่ ป.๑ จนถึงปริญญาตรี โท เอก...เสียเงินนะ ถึงจะได้ความรู้นั้น

แต่กายเขาแสดงความรู้ เขาให้ความรู้นี่ ไม่คิดตังค์น่ะ ...แต่กลับไม่เห็นคุณค่า กลับไม่เคารพในคำพร่ำสอนที่เขาแสดงตั้งแต่เกิดจนวันตาย ...อาจารย์ใหญ่นะเนี่ย อาจารย์ใหญ่

เราถึงบอกว่าเรานี่ที่พูดที่สอนนี่เป็นอาจารย์รองนะ ทุกคนน่ะมีอาจารย์ใหญ่...มาพร้อมกับการเกิด มีกาย มีแขนมีขา มีหน้ามีหลัง มีตัวมีตน มีอากัปกริยาทางกาย มีความรู้สึกทางกายที่ปรากฏ

เนี่ย อาจารย์ใหญ่...แสดงธรรมโดยที่ไม่เรียกร้องอะไรเลย แสดงธรรมด้วยความจริงใจ จริงจัง ตรงไปตรงมา ชัดเจน ...แต่ไอ้ "เรา" นี่  ไอ้ตัว “เรา” ไอ้ความรู้สึกของเรานี่ มันเป็นลูกศิษย์ที่ไม่รักดี 

ลุกลี้ลุกลน จะหนีเที่ยวอยู่นั่นน่ะ จะไปข้างหน้าบ้าง จะไปข้างหลังบ้าง จะไปหาเพื่อนในวงนั้นวงนี้ จะไปถามสารทุกข์สุขดิบคนนั้นคนนี้ นั่น มันลุกลี้ลุกลนออกไป ไม่หยุดไม่อยู่ไม่ยั้ง 

ขนาดนั้นอาจารย์เขายังไม่เบื่อเลย เขาก็ยังสอนไปแบบเงียบๆ ไร้ภาษา ไร้คำพูด ไร้คำบ่น ...เขาก็แสดงธรรมตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตั้งแต่เย็นจรดเช้า ตั้งแต่ลมหายใจเข้าจนหมดลมหายใจ หมดพลังสั่งสอนแล้ว

นั่น ตาย ...แล้วถ้าเกิดจับพลัดจับผลูไปได้กายหมาขึ้นมานี่ เขาก็สอน...แต่ไม่มีสิทธิ์เรียนแล้วนะ ไม่มีสิทธิ์เรียนรู้กายแล้ว ไม่มีสิทธิ์เรียนกับอาจารย์แล้ว

ไปเป็นเทวดา ไปเป็นพรหม ก็ไม่มีกายให้เรียนอีกแล้ว ...เป็นเทวดาเป็นพรหมเสร็จ ต้องรอให้มันหมดวาสนา หมดบุญญาบารมีตรงนั้น หมดอานิสงส์นั้น ถึงกลับมามีกาย...เป็นคน

เพราะกายคน กายขันธ์ห้านี่ เป็นที่รวมของสรรพสิ่ง  สามโลกธาตุนี่รวมอยู่ในขันธ์ห้า ทุกสภาวะธาตุ ทุกสภาวธรรม ทั้งที่จับต้องได้ ทั้งที่จับต้องไม่ได้ ...มันอยู่ในขันธ์ห้า ในกายนี้ทั้งหมด

เหมือนเป็นห้องสมุดใหญ่ เป็นห้องสมุดที่บรรจุสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง รวมอยู่ในกายนี้ ขันธ์นี้ ครบถ้วน ไม่ตกหล่น ...นี่คุณค่าของกายนี่ เปรียบเหมือนขุมทรัพย์

นี่ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้านะ ไม่มีใครมาชี้ขุมทรัพย์นี้ให้เห็นเลยนะ มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวในสามโลกธาตุ ...แล้วในหลายกัปหลายกัลป์นี่ถึงจะมีมาสักหนึ่งองค์หนึ่งท่าน

แล้วมาชี้มาบอกว่า เนี้ย คือขุมทรัพย์อันแสนจะมีค่ายิ่ง ขุดลงไปๆๆ เดี๋ยวได้ทรัพย์แบบกินไม่รู้จักจบน่ะ ...ทรัพย์นั้นคือปัญญา ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ชื่อเสียง ไม่ใช่ลาภยศ ไม่ใช่สรรเสริญเยินยอ

แต่ทรัพย์ที่ได้คือปัญญา ที่จะเป็นใบเบิกทาง เป็นใบผ่าน เส้นทางของมรรค ...ซึ่งจะไปแบบไม่กลับ One way ticket ...ตีตั๋วเที่ยวเดียว ไม่ต้องตีตั๋วไปกลับ

แต่พวกเรานี่มาอยู่กับกายแบบ "งั้นๆ น่ะ โคตรเบื่อเลย ไม่เห็นมีอะไรเลย" ...แล้วก็มาใช้กายนี้ เอาไปด่าคนอื่นซะงั้นน่ะ แล้วก็ใช้กายนี่ไปหาความสุขทางการเห็น ทางการได้ยิน

ถ้าเป็นภาษาเราก็ว่าใช้กายผิดประเภท ใช้กายแบบเอาสากกะเบือมาหั่นเนื้อ มันผิดประเภท มันจึงได้ผลแบบไม่คุ้ม ...แต่มันก็ยังกล่าวอ้างขึ้นมาเรื่อยว่า ได้เป็นส่วนหนึ่งในม็อบนี่ เกิดมานี่คุ้มแล้ว

แต่พระพุทธเจ้าบอก...แม้แต่เด็ก ๗ ขวบเกิดมานี่ รู้ว่ากายนี้ตั้งอยู่ กายนี้ปรากฏด้วยความแปรปรวน กายนี้ดับไปเป็นธรรมดา...แม้เห็นเพียงขณะจิตหนึ่ง ท่านบอกว่า นี่ ประเสริฐ เป็นผู้ที่ควรค่าแก่การเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว

แต่กับผู้ที่มีวุฒิภาวะ กับผู้ที่มีทรัพย์ศฤงคาร กับผู้ที่มีอายุ กับผู้ที่มีพรรษา กับผู้ที่มีการศึกษาสูงส่งขนาดไหน แต่ไม่เคยเห็นลักษณะกายในแง่มุมนี้เลย ...ท่านบอกว่าโมฆะบุรุษ ไม่คุ้มกับการเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้เลย

เพราะนัั้น...มีโอกาส ได้โอกาสนั้นแล้ว คุณมีสิทธิ์ แต่คุณไม่ใช้สิทธิ์  One man One vote หนึ่งต่อหนึ่ง คุณได้สิทธิ์นั้นแล้ว ...ไม่มีสิทธิ์เป็นสองนะ ทุกคนมีสิทธิ์เสมอกัน

หนึ่งกายหนึ่งรู้ หนึ่งกายหนึ่งใจ...คุณมีสิทธิ์ ...คุณไปใช้สิทธิ์แทนกันไม่ได้ คุณจะมาเสียบบัตรผีไม่ได้  คุณจะมีสิทธิ์มากกว่าสองมากกว่าสามสี่ห้า เป็นไปไม่ได้

คุณมีสิทธิ์แค่หนึ่ง แล้วทุกคนมีสิทธิ์เท่ากัน นี่คือความเสมอภาคในธรรม...คุณมีเอกสิทธิ์มาพร้อมกับการเกิดมาเป็นมนุษย์ มีตามีหูจมูกมีอายตนะมาครบหก

นี่เป็นใบเบิกทางนิพพานแล้ว...คุณมีสิทธิ์ ...ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่มาสอนแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์บนโลก กับคนโลก

เพราะว่า "มนุษย์" นี่เป็นผู้ที่มีสิทธิ์โดยสมบูรณ์ ในการที่เข้าถึงนิพพานในชาติปัจจุบัน...ทุกคนไป ไม่เว้นแม้แต่ว่านับถือศาสนาอื่น หรือไม่มีศาสนาเลยด้วย 

นั่น คุณมีสิทธิ์แต่คุณไม่ใช้สิทธิ์นี้ กลับใช้สิทธิ์ที่มีไปเป็นสิทธิ์อันอื่น อย่างน่าเสียดาย ...แล้วไอ้การที่ใช้กายนี่ไปทำสิทธิ์ที่มันล่วงเกินผู้อื่นนี่ มันไม่ใช่ได้แค่ความสะใจนะ

แอ็คชั่นเท่ากับรีแอคชั่น...เราสะใจเท่าไหร่ ผลที่ได้รับคืนไปเท่านั้น ...นี้คือกฎ นี้คือกฎแห่งกรรม นี้คือกฎธรรมชาติ นี้คือกฎเหล็ก...จะปฏิเสธไม่ได้ ไม่มีใครปฏิเสธได้

แม้แต่กระทั่งพระอรหันต์ท่านยังปฏิเสธกฎแห่งกรรมไม่ได้เลย ...แล้วท่านไม่ได้ปฏิเสธกฎแห่งกรรม แต่ท่านอยู่เหนือกฎแห่งกรรมนั้น ท่านไม่อยู่ใต้กฎแห่งกรรม

แต่พวกเรานี่ ทั้งๆ ที่อยู่ใต้กฎแห่งกรรม แต่พยายามจะปฏิเสธกฎแห่งกรรมเมื่อมันส่งผล ...แล้วก็ขยันสร้างเหตุ สร้างเหตุโดยที่ไม่รู้ว่าเวลาผลมันตอบสนองคืนมาแล้วนี่...ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเลย

เราทำใครเขาไว้เท่าไหร่...ได้เท่านั้น ไม่มีมากไม่มีน้อยกว่านั้น นี้คือกฎ ...เราอยู่ใต้กฎ เราใช้กฎไม่เป็นเมื่อไหร่ จะถูกผลที่กฎนี้เล่นงานขึ้นมาจน...ทนอยู่บนโลกนี้แทบไม่ได้

แล้วยังไม่มีปัญญา ยังสะสมการประกอบเหตุแห่งกรรมนั้นอีก..ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆๆ ...ถามว่ามีหนี้ ชดใช้บ้างรึยัง แล้วยังกู้หนี้ซ้ำๆ ทุกภพทุกชาติ เมื่อไหร่จะใช้หมด

ยังมีอีกหลายรีแอ็คชั่นที่เรายังไม่ได้รับ มันยังตกอยู่ที่ไหนไม่รู้ ...แต่กฎแห่งกรรมนี้ เรียกว่าไม่มีเอนพีแอล ไม่มีหนี้สูญน่ะ ...ยังไงก็หนีไม่พ้น หนีไม่ได้

แต่เมื่อใดที่เรายอมรับ ชดใช้ แล้วไม่ก่อเกิดใหม่ ไม่สร้างใหม่ ...หนี้ก็ค่อยๆ น้อยลง ใช่ไหม   


(ต่อแทร็ก 12/40)



  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น