วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 12/36



พระอาจารย์
12/36 (561219A)
19 ธันวาคม 2556


โยม –  พระอาจารย์คะ ดูข่าว...ดูแบบมากๆ ดูแบบติดตามข่าวอย่างนี้น่ะค่ะ มันติดแล้วมันแบบ มันไปหมดเลยค่ะ

พระอาจารย์ –  นี่แหละหลง หลง...หลงในข้อความเท็จ มันก็มีแต่พูดๆๆๆ มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นจริงสักอย่าง ไม่รู้อันไหนจริงอันไหนไม่จริง แล้วก็ไปพูดแต่เรื่องข้างหน้า ไม่รู้จะเป็นรึเปล่า

แล้วก็กล่าวโทษคนนั้นคนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า ...แต่ฟังแล้ว ฟังซ้ำๆๆๆ นี่ เขาเรียกว่าล้างสมองไปเลย ของไม่มีก็กลายเป็นของมีไปเลย ของไม่เที่ยง ของจับต้องไม่ได้ก็เป็นจริงเป็นจังไปหมด หลงไปหมด

ถึงบอกว่าการสำรวมอินทรีย์นี่ ไม่ต้องไปรับรู้ข่าวสารอะไร เหมือนคนหูหนวกตาบอด  ...มันก็ไม่มีทั้งคนถูกคนผิดอะไร ปล่อยมันไป เรื่องของเหตุการณ์ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเหตุการณ์ ไม่ใช่เรื่องของเรา

แต่คราวนี้พอไปฟังแล้วมันอิน ก็กลายเป็นเรื่อง...ประเทศไทยของเรา ชาติของเรา ผลประโยชน์ของเรา ก็ยิ่งไปใหญ่ ...ตายแล้วก็เอาชาติไทยไปไม่ได้ ไม่ใช่เรื่อง

ยิ่งฟังมากก็ยิ่งปฏิฆะ มีความจงเกลียดจงชัง ...ไม่รู้อ่ะ ถูกผิดเราไม่สนอ่ะ แต่ว่ามันทำให้อารมณ์ปัจจุบัน จงเกลียดจงชัง มีกิเลสเพิ่มขึ้น ...อะไรก็ตามที่มันทำให้มีกิเลสพอกพูน ผิดทั้งนั้นนะ

เราไม่เอา เราไม่ถามหรอกว่าใครถูกใครผิด ...แต่ถามว่า เข้าไปอยู่ตรงนั้นน่ะ แล้วกิเลสปัจจุบันมันมากขึ้นรึเปล่า ..แต่ถ้าดูแล้วผ่านๆ ก็ไม่มีปัญหา  เราก็ดูข่าว ก็ไม่ได้ไปใส่ใจสนใจอะไร

ดูแล้วสมเพชมากกว่า สมเพชในความเอาเป็นเอาตายกันเหลือเกิน คือมุ่งจะไปทำลาย หรือว่าไปจัดการกิเลสคนอื่นน่ะ ว่าคนนั้นไม่ดี จะต้องทำอย่างงั้น จะต้องทำอย่างงี้

เราบอกว่า ขันธ์ห้า...แม้แต่ขันธ์ห้านี่มันยังไม่ใช่ของเราเลย ยังจัดการกับขันธ์ห้าตัวเองไม่ได้เลย แล้วมันจะไปจัดการอะไรได้ ...ผมหงอกนี่เอ้า แก้ได้มั้ย บอกให้มันหยุดหงอกสิ หรือจะตายอย่างนี้ สั่งมันได้ไหม 

ตัวเองยังทำอะไรกับตัวเองไม่ได้เลย แล้วมันยังคิดจะไปล่วงเกินผู้อื่น คิดจะไปแก้กิเลสผู้อื่นอย่างนี้ ...แต่ว่ากิเลสเจ้าของนี่แก้ได้ ทุกคนน่ะ ทุกคน...ต้องแก้เองด้วยนะ ไม่ใช่ให้คนอื่นมาแก้นะ 

การล้างกิเลสออกจากใจ การล้างกิเลส ออกจากความยึดมั่นถือมั่นในกองขันธ์นี่ มันทำได้ ตัวเองทำได้ ...คนอื่นมาทำแทนไม่ได้ แล้วคนอื่นมาบังคับให้ทำก็ไม่ได้ซะด้วยถ้าตัวเองมันไม่ทำ

แล้วอย่างนี้ มันกลับไปจริงจังในการที่จะจัดการผู้อื่น จัดการสังคม จัดการความผิดถูกอะไร ...คือความหมายมั่น ต่างคนต่างหมายน่ะ แต่มันมีที่หมายไม่เหมือนกัน 

แล้วก็ต่างคนต่างเที่ยงในที่หมายนั้นๆ ว่าจะต้องมีอย่างนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้ เนี่ย ต่อให้เป็นพันปีมันก็ไม่มีทางปรองดอง มันแก้ไม่ได้หรอก

แต่ถ้ามันแก้กิเลสตัวเองน่ะแก้ได้ ต่างคนก็ต่างแก้กิเลสตัวเอง ล้างกิเลส ล้างความคิด ล้างความเห็น ไม่มีความเห็นใดความเห็นหนึ่งว่าถูกหรือผิด อย่างนี้

ไม่มีแม้กระทั่งความเห็นใดความเห็นหนึ่งขึ้นมา ละทุกความเห็น เหมือนเป็นการโนคอมเมนท์ไปเลย ไม่มีความเห็น ...จิตใจก็ร่มเย็น เป็นสุข...สุขที่ไม่ใช่สุขที่ได้ดั่งใจ แต่สุขเพราะหมดกิเลส

ไอ้ที่มันกำลังหานี่ คือมันจะหาให้มันได้เกิดสุขอย่างที่ใจปรารถนา ...ซึ่งมันมีที่หมายต่างกัน คนหนึ่งซ้าย...คนหนึ่งขวา มันก็ไม่มีทางบรรจบกันได้หรอก

มันทะเลาะกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว แล้วก็ตายๆๆๆ ไปเป็นหมูหมากาไก่มั่ง สองร้อยสามร้อยปีก็มารวมกัน กรรมพาให้เกิดมาเจอกันพอดีกัน มันพอดีกันเมื่อไหร่ก็ทะเลาะกันเมื่อนั้นน่ะ

เดี๋ยวมันก็ตายกันหมด แล้วมันก็ห่างเว้นกันไปสองสามสี่ร้อยปี แล้วก็กลับมาเจอกันอีก ...มันเป็นวังวน เห็นมั้ย  อย่าเข้าไปอยู่ในวังวนนั้นน่ะ มันดูดกลืนเข้าไป


โยม –  อย่างนี้เท่ากับเราไม่ควรดูใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ดูได้...ถ้ามีปัญญา ...ถ้าไม่มีปัญญาอย่าไปดู ถ้าดูแล้วอินแบบเข้าสายเลือดไปเลย


โยม – (หัวเราะ) หลงแบบตามเขา จะไปเป่านกหวีด จะไปๆ อย่างนี้

พระอาจารย์ –  หมดลมหายใจไปกับการเป่านกหวีด กับการหมดลมหายใจไปกับการมีสติระลึกรู้กำกับอยู่อย่างนี้ ...อันไหนมันมีค่ากว่ากัน

ปล่อยเวลาการรู้กายดูกาย การรู้ขันธ์เห็นขันธ์ปัจจุบัน ...นี่ มันไม่ใช่ว่ารู้แค่วันสองวัน เห็นแค่วันสองวันด้วยความต่อเนื่อง แล้วมันจะยอมนะ...มันจะยอมว่าขันธ์นี้ไม่ใช่เรา กายนี้ไม่ใช่เรา

คือมันจะต้องใช้เวลาบ่มปัญญา ดูซ้ำๆๆๆ ต่อเนื่อง ซ้ำซาก เป็นวันหลายวัน เป็นเดือนหลายเดือน เป็นปีเป็นหลายปีน่ะ กว่าที่จะจิตมันจะยอมรับ

ไม่ใช่ว่าดูแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงติดต่อต่อเนื่องกันแล้วก็พัก ไปเป่านกหวีดซะ นี่ เวลาดูกายดูใจไม่มี ...เมื่อเวลามันออกนอกกายนอกใจ ก็คือเมื่อนั้นน่ะเป็นเวลาที่มันยึดมั่นถือมั่น

แล้วก็เวลายึดมั่นถือมั่นก็หมายความว่า มันพอกพูนกิเลส พอกพูนความหนาแน่นของความเป็นตัวเราของเรา ...มันก็ยิ่งทับถมให้มันหนาขึ้นอีก

พอกลับมาดูกายดูใจก็ได้แป๊บหนึ่ง เอาเวลาไปหมดกับเรื่องราวข้างหน้าข้างหลัง เรื่องคนอื่น เรื่องราวที่ห่างไกลเนื้อตัว ...แล้วเมื่อไหร่มันจะยอมรับความเป็นจริงว่ากายนี้ไม่ใช่เรา

เพราะอะไร ...เพราะอายุขัยนี่ อายุของการเกิดมันมีจำกัดน่ะ มันจำกัดช่วงหนึ่งไม่เกิน ๘๐-๙๐ ปี อย่างนี้ เอ้า นี่ว่าอายุยืนแล้วนะ ...แล้วมันหมดเวลาไปแล้ว กินเวลาเข้าไปแล้ว

แทนที่เวลามันจะหมดไปกับการรู้กายดูกายเห็นกายตามความเป็นจริง ได้สะสมพอกพูนปัญญาทีละเล็กทีละน้อยไป แข่งกับอายุที่มันกำลังจะหมดไป ถอยลงไป

ก็ไม่รู้ว่าในชาตินี้มันจะรู้เห็น ...แล้วขนาดรู้เห็นด้วยความต่อเนื่องก็ยังไม่มั่นใจว่าในชาตินี้มันจะละ จิตมันจะยอมละหรือเปล่า ...เห็นมั้ยว่าความเพียรน่ะต้องขนาดไหน

ถ้ามันออกนอกมรรค ออกนอกศีลสมาธิปัญญาเมื่อไหร่นี่ ...มันก็เป็นเวลางอกงามของกิเลส ความไม่รู้ ความหลงไปในที่ต่างๆ บุคคลต่างๆ เกิดความจริงจังมั่นหมายในโลก ในเรื่องราวในโลก คนดีคนชั่วอะไรอย่างนี้ 

แทนที่จะหมดเวลาไปกับการเจริญในองค์มรรค เจริญศีลสมาธิปัญญาเพื่อความจางคลาย ...กลับกลายเป็นพอกพูนความหนาแน่น ความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นเราเป็นเขานี่

ดูข่าวอ่านข่าวบอกว่า มันกำลังจะไปทำลายแม้กระทั่งซานตาคลอส  ถามว่าทำไม...ซานตาคลอสมันใส่เสื้อแดง (หัวเราะกัน) ...ดูสิ ตลก หรือว่ามันบ้ากัน หรือมันโง่กัน

ขนาดซานตาคลอสใส่เสื้อแดงมันยังถือว่าเป็นศัตรูเลย เนี่ย มันผู้มีปัญญารึเปล่าหือ ...อะไรนี่ มันกลายเป็นความจงเกลียดจงชังถึงขั้นนั้นเลยหรือ

เราไม่พูดถึงความถูกต้อง-ไม่ถูกต้องอะไรนะ เราไม่พูดว่าใคร คนไหนถูกคนไหนผิดอะไรนะ ...แต่ดูความบ้าของจิตสิ นั่งในที่ชุมนุม...คนนำขึ้นมาว่าเป่านกหวีดให้คนเลวหน่อย...เป่า 

เอ้า มันเลวใช่ไหม..ใช่ ถ้าใช่ก็เป่านกหวีด...เป่าปรี๊ด ...เอ๊า มันเป่าให้ใคร ก็เป่ากันเองฟังกันเองอยู่นั่นน่ะ (โยมหัวเราะ) ทั้งก๊กเลย หมื่นคนก็เลวทั้งหมื่นคน ...เออ ตลกดี ดูอาการนี่เหมือนคนบ้านะ 

นั่น มันอย่างนี้ จริงจังเหลือเกิน เหมือนอย่างว่าประเทศไทยจะล่มจมกันไปอย่างนั้นถ้าไม่มีม็อบนี้ออกมา ...ก็เห็นมันอยู่ได้แปดเก้าร้อยพันปี ไม่เห็นเป็นไร ไอ้ม็อบพวกนี้ยังไม่ทันเกิดเลย

เดี๋ยวพอม็อบนี้แล้วก็ม็อบเสื้อแดงมาอีก ปวดหัวอีก ...เหมือนกันน่ะ บ้า  ถ้าเข้าไปรวมกลุ่มกันเป็นม็อบขึ้นมาเมื่อไหร่น่ะ ความบ้ามันจะแสดงแบบไม่ยั้งเลย

เหมือนพวกอาชีวะน่ะ ให้มันเดินถนนคนเดียวนี่หงอเลย แต่อย่าให้เกินห้าคนแล้วกัน โอ้โฮ มันใหญ่คับถนนเลย นั่น มันเป็นอย่างนั้น ...เหมือนกันน่ะ

ถ้ารวมกลุ่มกันเมื่อไหร่ ความบ้า กิเลสที่มันพร้อมจะแสดงอำนาจบาตรใหญ่ของมันอยู่แล้ว ความยึดมั่น ความสร้างค่าน่ะ...ค่าของตัวเรา ให้มันมีค่าขึ้นมานี่ไง

ถึงบอกว่าอย่าไปเข้าใกล้วังวนนี้ กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวคนเดียวนี่ มันด้อยค่า ด้อยค่าความเป็นตัวตนของเราลงไป ด้อยค่าจนถึงหมดค่า นั่นน่ะ ต้องการให้มันหมดค่าของเราไปเลย

การภาวนานี่ จนมันเห็นกายของตัวเองน่ะเหมือนกระดาษเปล่าๆ ...มันอยู่กับกาย มันดูกายโดยทั่ว โดยไม่หนีออกจากกายไปเลย มันก็จะเห็นซ้ำๆๆๆ

จนมันเห็นเหมือนกับกายเป็นกระดาษเปล่าๆ ไม่มีแม้กระทั่งตัวหนังสือเขียนอยู่ในกระดาษนั่น ...เป็นอะไร เป็นแผ่นอะไรก็ไม่รู้ เป็นสิ่งของอะไรก็ไม่รู้ ว่างๆ อยู่อย่างนั้น

ทุกลักษณะอาการของกาย ทุกการประชุมรวมตัวกันเป็นปรากฏการณ์ เวทนาบ้าง เป็นธาตุบ้าง เป็นทุกข์ เป็นสุข...จริงๆ ไม่มีสุขหรอก มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อยเท่านั้นในกาย

ทุกข์น้อยก็เป็นธรรมดา ทุกข์มากก็ปวด มันไม่มีสุขหรอก ไม่มีที่ไหนสุขในกาย  มันเป็นก้อนทุกข์ก้อนเวทนาเปล่าๆ ไม่มีความหมาย ...ดูจนมันไร้ความหมายไปเลย นั่นน่ะ ท่านให้ดูถึงขั้นนั้น มันก็ไม่มีปัญหาอะไร


โยม –  ดูข่าวอย่างนี้ ดูมากๆ แล้วติดน่ะค่ะ แล้วมันอยากจะเสพต่อๆ

โยม (อีกคน)  แล้วมันจะจบยังไงคะพระอาจารย์ ตายหมด?

พระอาจารย์ –  คือยังไงมันก็ตายหมดอยู่แล้ว ไม่มีใครไม่ตาย ...ก็ตายทั้งนั้นน่ะ ไม่ว่าแดง ไม่ว่าเหลือง ไม่ว่าเขียว ไม่ว่าใคร ไม่ว่าพระ ไม่ว่าพระอรหันต์ก็ตาย ...ยังไงก็ตาย

แต่ไอ้ระหว่างจะตาย ก่อนจะตายนี่...มันใช้คุ้มไหม มันทุ่มเทไปกับอะไร ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ...ถ้าอยากเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องทุ่มเทกับภาวนา

ถ้าอยากจะไปเป็นเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง สัตว์นรกบ้าง ก็ทุ่มเทกันเข้าไปกับการเป่านกหวีด ว่ากันไป เสื้อแดงบ้าง เสื้อนั้น แบ่งกลุ่มแบ่งก๊กไป 

เหมือนกับเดรัจฉานนี่ เคยเห็นมั้ย แมวกับหมางี้ เจอกันไม่ได้นะ ไม่รู้มันเป็นโรคอะไร ไม่รู้มันไปโกรธกันตั้งแต่ชาติปางไหน ก็น่าจะเป็นเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงนี่ล่ะมั้ง อะไรอย่างนี้

คือมันก็กลายเป็นอย่างนั้น..กรรมนี่มันไปจำแนกเผ่าพันธุ์  ทำอะไรไว้นี่ ตั้งแต่มีชีวิตเป็นคน ดี-ไม่ดี ชอบ-ไม่ชอบ คุ้ม-ไม่คุ้ม ...มันก็กลับใช้ชีวิตไปซะอย่างงั้น หาเรื่องจงเกลียดจงชัง

เดี๋ยวก็ไปเป็นแมวเป็นหมา เจอหน้ากันเมื่อไหร่ก็..ไม่รู้มันโกรธกันมาแต่ชาติปางไหน มันต้องไล่ ถ้าแมวตัวไหนเก่งหน่อยก็ตบหมา แมวตัวไหนสู้ไม่ได้ก็โดนหมากัด นี่ เดี๋ยวนี้แมวชนะหมา อะไรอย่างนี้

ทุกอย่าง กรรมมันเป็นตัวบ่งบอกถึงชีวิตในอนาคต ถึงบอกว่าการเกิดมาเป็นคนไม่ใช่ของง่าย ...แต่เกิดมาแล้วนี่กลับใช้ขันธ์ ใช้ร่างกายไม่คุ้ม...ไม่คุ้มกับการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีบุญหนุนนำส่งมา

อย่างหมาเรานี่ อยากมาเป็นคนจะตาย ยังไม่ได้เป็นเลย เพราะบุญยังไม่ถึง มีบาปมาคั่น ...มันนั่งฟังเทศน์เราทุกวัน...ไม่รู้เรื่อง เอาไปทำก็ไม่เป็น ฟังไม่รู้เรื่อง ได้แต่แลบลิ้นเลียแผล็บๆๆ อยู่อย่างนี้

แล้วพวกเราเป็นคนมีหูมีตามีจมูก มีความคิด ฟังภาษาเทศน์ภาษาธรรมรู้เรื่อง กลับเอาลมหายใจเข้าออกไปเป่านกหวีดซะอย่างงั้น เพื่อเร่งเร้าความจงเกลียดจงชังให้กันและกัน

ไปมุ่งเอาถูกเอาผิด เอาดีเอาร้าย เอาคุณเอาโทษอย่างงี้ ...ในขณะที่การภาวนากลายเป็นเรื่องของสปีชีส์อื่น เป็นเรื่องไร้สาระ มันว่าอย่างงั้น...อย่ามาพูด ไร้สาระ

นี่สาระคือตรงนี้ เพื่อประเทศไทยอยู่รอด ไม่ล่มจม เป็นสาระ ใครไม่ไปนี่ถือว่าไม่รักชาติ ไม่รักบ้านเมือง ...เอ๊ะ มันด่าพระอรหันต์นี่หว่าอย่างนี้ ใช่มั้ย

พระอรหันต์ไม่ได้ไปเป่านกหวีดเลย ไม่ได้ไปเดินขบวนเลย  พระโสดาบันขึ้นไป อริยะขึ้นไปก็กลายเป็นคนไม่รักชาติซะฉิบ อะไรอย่างเนี้ย ...มันเป็นคำกล่าวอ้าง ไม่มีเหตุผล ปลุกเร้ากันไป

แล้วถามว่า ถ้าเกิดไปสะดุดล้มตายกลางถนนทำไงล่ะ ...ไม่รู้ไปเกิดที่ไหนนะเนี่ย


(ต่อแทร็ก 12/37)






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น