วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 12/37


พระอาจารย์
12/37 (561219B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
19 ธันวาคม 2556


พระอาจารย์ –  พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าชีวิตนี้สั้นนัก เหมือนน้ำค้าง แป๊บเดียวก็ระเหยแล้ว ...เกิดใหม่ไม่รู้จะได้เกิดที่ไหน ไม่รู้จะได้มาเจอพุทธศาสนารึเปล่า

เพราะมันนับถือศาสนาพุทธกันแบบสั่นคลอน ง่อนแง่น คลอนแคลน นับถือพุทธแบบตามตำรา แบบประเพณีนิยม นับถือพุทธแบบกึ่งๆ พราหมณ์ นับถือพุทธแบบตามเขาว่า ตามเทรนด์ อะไรอย่างนี้

มันก็ไม่แน่ว่าเกิดใหม่มันจะได้เจอกับพุทธศาสนารึเปล่า หรืออาจจะเกิดมาเจอพุทธศาสนา...แต่เป็นพุทธศาสนาที่ไม่มีพระอริยะหลงเหลืออยู่แล้วอย่างนั้น 

นั่นก็ไม่รู้จะเอาศีลสมาธิปัญญามาจากไหนแล้ว ต่างคนต่างก็ว่าศีลของกู กูคือคนถูกต้อง ...เออ บรรลัยล่ะตอนนั้น จะหาความสงบจากสมาธิก็ไม่เจอ

มันจะเจอแต่ความสงบแบบ...อีกฝั่งหนึ่งต้องตายซะก่อน ถึงจะเจอความสงบ  ถ้าฝั่งเดียวกันตายไม่สงบ ถ้าอีกฝั่งหนึ่งตายแล้วจะสงบ ...นั่น มันจะเจอความสงบแบบนั้นอ่ะนะ

มันไม่ใช่ความสงบร่มเย็นทางพุทธศาสนา ซึ่งไม่ได้เกิดจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน นี่ พระพุทธเจ้าสอนว่า ความสงบน่ะมันจะเกิดจากการที่ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

ไม่เบียดเบียนขนาดไหน ...ก็ให้เป็นไปเพื่อความไม่เบียดเบียนแม้กระทั่งวัตถุสิ่งของน่ะ  เคารพ นอบน้อมต่อธรรมทั้งหลายทั้งปวง ...นี่ ผู้ที่อยู่ในศีลจริงๆ

ผู้ที่เคารพในศีล ถึงเนื้อแท้ของศีล ธรรมแท้ของศีลจริงๆ  จะเคารพ...เคารพต่อสรรพสิ่ง ดินฟ้าอากาศ ไม่ล่วงเกิน ...เห็นมั้ย แม้กระทั่งวัตถุยังไม่ล่วงเกินเลย

แล้วพวกเราล่ะ...บ่นมั้ย หนาวนี่บ่นมั้ย...บ่น ร้อนล่ะบ่นมั้ย...บ่น ฝนตกมาก แฉะ...บ่น ...เห็นมั้ย ล่วงเกินมั้ย ล่วงเกินธรรมชาติ ล่วงเกินด้วยกายวาจา ล่วงเกินด้วยความคิด

แต่ผู้ที่รักษาศีล รักษากาย รักษาใจ ไม่ออกนอกกาย ไม่ออกนอกใจ ...จิตจะไม่ออกไปล่วงเกินในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดี-ไม่ดีตามที่มันเคยว่าแต่เก่าก่อน ตามที่มันเคยให้ค่าแต่เก่าก่อน

มันก็ละเว้นซะ มันก็ละเว้นจิตดวงนั้น ...เท่าทัน คอยเท่าคอยทัน แล้วก็ละ แล้วก็กลับมายอมรับ แม้กระทั่งดินฟ้าอากาศ แม้กระทั่งสภาวะเหตุการณ์บ้านเมือง แม้กระทั่งสภาวะธาตุสภาวะขันธ์

ก็ไม่ล่วงเกิน แม้กระทั่งสภาวะธาตุ สภาวะขันธ์ของตัวเอง ...อะไรมันจะแก่ มันจะมีเวทนา มันจะเหี่ยว มันจะหย่อน มันจะยาน มันจะหมดสภาพ มันกำลังจะหมดสภาพ

ก็ไม่เข้าไปล่วงเกินกาย ที่มันกำลังแสดงอากัปกริยานั้นๆ ตามความเป็นจริง …เนี่ย ท่านเห็น ท่านเคารพธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นๆ

เพราะอะไร ...เพราะท่านเข้าถึงธรรมทั้งหลายทั้งปวง ท่านเข้าใจธรรมทั้งหลายทั้งปวงว่าล้วนแล้วแต่เป็นความจริงที่ล่วงเกินไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้

มันเป็นอย่างนั้น ภาษาท่านเลยเรียกว่า ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง มันไม่เป็นอย่างอื่นหรอก ไอ้ที่เป็นอย่างอื่นน่ะ เราว่า...เราว่าเอาเอง หรือถ้าไม่เราว่าก็คนอื่นเขาว่าแล้วมันถูกกับเราของเรา

มันก็เลยล้วนแล้วแต่ว่าจะพยายามดัดแปลงแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างให้มันคงสภาพใดสภาพหนึ่ง หรือว่าเป็นอย่างที่มันหมายว่าต้องเป็นอย่างงั้น ไม่เป็นอย่างงี้

นี่คือการล่วงเกิน มันเกิดการล่วงเกิน ล่วงเกินพระธรรม ล่วงเกินธรรมชาตินั่นเอง ...ล่วงเกินธรรมชาติก็คือล่วงเกินความเป็นจริงที่ปรากฏในปัจจุบัน

การฝึกจิต การภาวนา ก็เพื่อให้เกิดผลคือยอมรับโดยที่ไม่มีเงื่อนไขในทุกสิ่ง ไม่มีปัญหากับทุกสิ่ง ไม่ว่าจะสิ่งนั้นจะดูเหมือนเลวร้ายใหญ่โตมากมายมหาศาลจนรับไม่ได้ขนาดไหนก็รับได้ ด้วยสภาพจิตที่เป็นกลางอย่างยิ่ง

เหล่านี้ มันไม่ใช่วันสองวันมันจะทำได้อย่างที่เราพูดนะ ...นี่พูดถึงจิตพระอรหันต์นะนั่นน่ะ  ท่านใช้เวลาแทบจะครึ่งค่อนชีวิตในการฝึก ในการเรียนรู้ ในการตรากตรำ ในการบากบั่น

ในการอดทนต่อสู้...ไม่ใช่ต่อสู้กับม็อบใดม็อบหนึ่ง ...ต่อสู้กับจิตตัวเอง ต่อสู้กับความอยากของตัวเอง ต่อสู้กับความไม่อยากของตัวเอง ต่อสู้กับความไม่ได้ดั่งใจ แล้วมันได้มา

ต่อสู้กับไอ้ที่อยากได้ แต่ดันไม่ได้มาอย่างนี้  แล้วมันขวนขวาย มันทะยานอยาก มันดิ้นรนกระวนกระวาย ไขว่คว้า ควานค้น ...เนี่ย ท่านต่อสู้กับจิตเหล่านี้

ด้วยการอดทน ตั้งมั่น เป็นกลาง อยู่กับที่ ...ถ้ามันไม่มีที่ มันก็ไม่รู้จะอยู่ตรงไหน สะเปะสะปะ ใช่มั้ย เหมือนลูกโป่งที่มันลอยไปตามลมมันจะพัด

คือลูกโป่งนี่มันพร้อมที่จะลอยใช่มั้ย ถ้ามีลม ซึ่งไม่รู้ว่าจะลมไหน ขอให้เป็นลมเถอะ จะเป่าก็ได้ หรือจะเป็นลมพัดก็ได้ หรือจะเป็นลมจากพัดลมก็ได้ หรือจะเป็นลมจากการกระเทือนก็ได้ 

เห็นมั้ย มันพร้อมที่จะลอยได้ทุกเวลา ...แต่ถ้าไม่ให้มันลอยก็ต้องมีที่ให้มันอยู่ คือมันต้องมีเชือกแล้วก็ผูกลูกโป่งไว้กับหลัก มันถึงจะไม่ลอยไปไหน ...นี่ ท่านฝึกของท่านอย่างนี้

ไอ้จิตนี่ ทุกคนน่ะมีจิตทุกคนน่ะ ...แล้วก็ให้รู้จักว่า สภาพ สภาวะจิตของทุกคนนี่ ก็คือจิตสังขาร หรือว่าจิตปรุงแต่ง นี่โดยคุณลักษณะของจิตปรุงแต่ง

คุณลักษณะของจิตปรุงแต่งนี่ ถ้าพูดถึงจิตปรุงแต่งคงไม่รู้จักกันหรอก ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยภาวนามากๆ ...เพราะนั้นมันก็คือ “จิตเรา” นั่นแหละ จิตของเรานั่นแหละ ที่มันชอบคิด ที่มันช่างคิด 

ที่มันช่างมีอารมณ์ ที่มันช่างมีความอยาก-ความไม่อยาก ที่มันช่างมีสุข หาสุข ปัดเป่าทุกข์ แก้ทุกข์ ผลักดันทุกข์ ...นี่จิตทั้งนั้นน่ะ อาการของจิต หรือที่เรียกว่าสภาวะจิต...ทุกคนจะมีสภาวะจิตทุกคน 

และคุณลักษณะของจิตเหล่านี้ มันคือคุณลักษณะของอากาศ คือมันเบา มันไม่อยู่ตัว มันไม่อยู่กับที่ มันจะฟุ้งกระจายอยู่ตลอด มันไม่มีน้ำหนัก มันเบาบาง เหมือนก๊าซ มันล่องลอยอยู่ตลอดในตัวของมันอยู่แล้ว

แล้วโดยคุณลักษณะนี้ ...ถ้าปล่อยไปตามคุณลักษณะของมัน มันก็จะล่องลอยไปจนวันตาย ไม่มีทางที่มันจะหยุดอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองเลย ...นี่คือคุณลักษณะของจิต

ซึ่งทุกคนจะมีจิต และทุกคนก็ใช้จิตน่ะเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัย เป็นไกด์ไลน์ เป็นโร้ดแม็พ เป็นตัวชี้นำ เป็นเพื่อนที่แสนดี...แล้วก็เป็นเพื่อนที่แสนเลว

ดีก็ดีนะ เลวก็เลวสุดๆ เหมือนกันนะ ...เวลามันหาทุกข์ให้น่ะ เช่น อยากจำเสือกลืม อยากลืมเสือกจำ อย่างเนี้ย นอนไม่หลับเลยน่ะ นั่นก็จิตเหมือนกัน

แล้วก็ไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง มันก็จะไปตาม เหมือนกับมันมีชีวิตจิตใจในตัวของมัน ...ไม่อยากโกรธก็โกรธ อยากจะให้ความเมตตากับมัน ก็ไม่สามารถจะสั่งให้มันเมตตาได้

เห็นมั้ย มันไม่ได้อยู่ในความควบคุม ...เหมือนกับบางครั้งดีก็ดีใจหาย บางครั้งบอกให้มันหยุด บอกให้มันยั้ง บอกให้มันรู้จักคิดดี คิดเมตตา เกื้อกูลอาทรสงเคราะห์

มันก็ไม่เอา มันไม่เป็นตามคำสั่งเลย ...นั่นน่ะลักษณะของจิต เหมือนควาย เหมือนวัว ...มันฟุ้งกระจายไป แต่มันฟุ้งไปด้วยความโง่...แล้วควบคุมไม่ได้

รู้จักวัวไหม วัวน่ะเขาทู่ ควายน่ะเขาแหลม ...แล้วมันเอาเขานี่ไปทิ่มแทงกัน อย่างน้อยก็เสียดแทง ถ้าแทงได้ก็แทง ถ้ายังแทงไม่ได้ก็เสียดแทงไว้ก่อน เอาข้างๆ ไถไว้ก่อน

อย่างเนี้ย จิตมันคอยแต่จะหาเรื่อง ก่อเรื่อง สร้างเรื่อง เป็นเรื่อง ไม่ยอมจบเรื่อง ...เรื่องเขาจบไปตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.ไหนแล้ว กูไม่จบน่ะ มีอะไรหรือเปล่า

นั่น แล้วมันก็พยายามจะให้เป็นเรื่องขึ้นมาให้ได้ ไม่มีเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่องให้ได้ ...เนี่ย จิตที่ไม่ได้รับการอบรม ไม่เคยอบรมมันเลย มันก็จะเป็นอยู่ในลักษณะอย่างนี้...หาทุกข์ให้ตัวเอง แล้วก็หาทุกข์ให้คนอื่น 

นี่คือจิตที่ไม่ได้รับการอบรม ธรรมชาติมันก็จะเป็นอย่างนี้ ใต้อนุสัยสันดาน...ทุกคนจะเป็นนะ ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลวกว่ากันหรอก เลวเท่ากัน ตราบใดมีจิตที่ไม่ได้รับการอบรม เหมือนกันหมด

แต่ว่าสภาพภายนอกนี่ เหมือนกับ...ถ้าคนเคยไปเมืองจีนน่ะ อาจจะได้กินหมี่เย็น ข้างบนเย็น ข้างล่างร้อนฉ่าเลย ...ไอ้พวกผักชีโรยหน้า ประมาณนั้นน่ะ 

นี่ ทุกคนน่ะ...มีจิตข้างในนี่เหมือนกับไฟ แต่ว่า..ฟอร์มๆๆ ใส่หน้ากาก...หน้ากากคน ...แล้วไม่รู้ตัวด้วยว่าใส่หน้ากาก หลอกตัวเองแล้วก็หลอกคนอื่นไปวันๆ 

เมื่อไหร่จะกระชากหน้ากากออกได้สักที หือ มีแต่มันจะไปกระชากหน้ากากคนอื่น จะไปกระชากมันทำไม หน้ากากตัวเองน่ะกระชากออกซะบ้าง ...แล้วมันกระชากได้ด้วยนะ ถ้าตั้งใจจะกระชากออก

ให้เห็นมันนั่นแหละ ให้มันเห็นเนื้อแท้ของกาย ให้มันเห็นเนื้อแท้ของขันธ์ ให้มันเห็นเนื้อแท้ธรรมแท้ ว่าความเป็นจริงของกายของขันธ์น่ะมันคืออะไร

มันกระชากหน้ากาก สมมุติ บัญญัติ ความเชื่อ ความเห็น ตำรา คำบอกเล่าของคนอื่น ที่เขาว่าให้ตัวเรา ว่าคืออันนั้น เป็นอย่างนี้ สถานะนั้น สถานะนี้

พวกนี้หน้ากากหมดน่ะ สมมุติบ้าง บัญญัติบ้าง คำพูดบ้าง...เอามาห่ม เอามาปก เอามาคลุม เอามาหุ้มไว้ ...ตัวเองหุ้มไม่พอ คนอื่นมาหุ้มซ้ำอีก

ก็เลยกลายเป็นสถานะใดสถานะหนึ่งที่เกินคนน่ะ มันเกินคน มันเป็นอะไรที่มันเกินคนน่ะ ...แล้วมันก็เลยเกิดความแตกต่างระหว่างคนด้วยกัน

เอ้า จับมันมา เสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อขาวอะไร จับมันมากรีดเลือดออกมา เหมือนกันมั้ย ...นั่นแหละเนื้อแท้ของกายเดียวกัน เหมือนกัน ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย

แต่ไอ้ที่มันโลดแล่นกันอยู่ในสังคมนี่ ในสถานะที่แตกต่างกันนี่ ปลอมปน มันเหมือนใส่หน้ากาก สมมุติบัญญัติ ...ทั้งตัวเองพยายามสร้างขึ้นมาเอง ทั้งคนอื่นพยายามจะขีดเขียนขึ้นมาให้

แล้วไม่รู้ว่าปลอม เป็นของปลอมปน กลายเป็นของปลอมปนสภาพที่แท้จริงของคน ...ไม่รู้ว่าปลอมนี่ยังไม่เท่าไหร่ แต่ยังไปว่ามันจริงยิ่งกว่าจริงอีกนี่สิ

แล้วก็เที่ยวไปหาว่าคนนั้นใส่หน้ากาก คนนี้โกหก ...มันโกหกทั้งหมดน่ะ ก็บอกไปกรีดเลือดออกมาดูซิ มีใครเลือดไม่สีแดงเหมือนกัน เผาออกมากลายเป็นเถ้ากระดูกเหมือนกันหมด

นั่นแหละ มันแตกต่างกันตรงไหน ...ต่อให้มันไม่นับถือพุทธด้วย ต่อให้มันไม่มีศาสนาด้วย  กายก็ยังเป็นกายเดียวกัน แบบเดียวกัน ลักษณะเดียวกัน มีการเกิด มีการตั้ง มีการดับไปเหมือนกัน 

ตายแล้วเน่าเหมือนกัน เผาแล้วกลายเป็นเถ้าธุลีเหมือนกัน มีลมหายใจเข้า-ออกเหมือนกัน แบ่งกันใช้อยู่นี่ ...อะไรมันมาแบ่งแยกกันอย่างนี้ ว่านั้นดี..นั้นเลว นั้นถูก..นั้นผิด นั้นควร..นี้ไม่ควร ...ไม่มีอ่ะ

นั่นน่ะจิตมันตัวแบ่ง แบ่ง...แบ่งตามประสามันเองน่ะ แบ่งแบบตามใจฉัน ตามใจเรา ตามใจกูเองน่ะ ...แต่กายจริงๆ มันไม่ได้แบ่งแยกอะไรเลย มันเป็นอันเดียวกันจริงๆ

พระพุทธเจ้าท่านมีคำหนึ่งพูดว่า สัตว์โลกทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย  ท่านใช้คำว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย หมายความว่า เหมือนกันน่ะ เป็นเพื่อน อยู่ในเผ่าเดียวกัน ว่านวงศ์เดียวกันคือคน

แล้วมันมีสภาวะเหมือนกันคือเกิดแก่เจ็บตาย มันก็เป็นเพื่อนกันน่ะ เพื่อนมนุษย์...ไม่มีอะไรแตกต่างกันหรอก เกิดมาแล้วต้องตาย เกิดมาแล้วต้องแก่

ไม่ว่าผู้ชาย ไม่ว่าผู้หญิง ตามสมมุติบัญญัติ  ไม่ว่าจะเป็นคนมีการศึกษา คนไร้การศึกษา ...ความเป็นไปของกายนี่ เหมือนกันหมดน่ะ เกิดมาก็เกิดมาเหมือนกันหมดน่ะ เกิดมาจากท้องแม่

โดนแดดก็ร้อน โดนหนาวก็หนาว มีใครไม่หนาวบ้าง มันแตกต่างกันตรงไหน หือ ...ให้พระอรหันต์มานั่งก็หนาว ไม่ใช่กายพระอรหันต์ท่านวิเศษวิโสกว่ากายคนนะ...ก็เหมือนกัน เป็นกายธาตุเหมือนกัน 

ไอ้ที่ไม่เหมือนก็คือ ท่านไม่มาแบ่งแยก ไม่แบ่งแม้กระทั่งว่ากายนี้เป็นผู้หญิง กายนี้เป็นผู้ชาย ไม่แบ่งแยกว่ากายนี้เป็นเขา กายนี้เป็นเรา  ไม่แบ่งแยกว่ากายนี้ดี กายนี้ต่ำ

ท่านเห็นกายเป็นกาย...เหมือนกัน อันเดียวกัน มีที่มาเหมือนกัน มีที่ไปเหมือนกัน ระหว่างอยู่ก็มีการดิ้นรนขวนขวายหาอยู่หากิน มีการเสพใช้สารอาหารเพื่อมาหล่อเลี้ยงสังขารเหมือนกัน

ไม่รู้มันจะโกรธใครดี ไม่รู้มันจะรักใครดี..อย่าว่าแต่โกรธเลยนะ ไม่รู้จะรักทำไม ...ก็เหมือนกันน่ะ เป็นธาตุเดียวกันน่ะ เป็นสสารเดียวกัน เป็นอะตอมเดียวกัน เป็นพลังงานเดียวกัน

เออ ตลกดี สมเพชดี ในความเป็นไปของความไม่รู้...แล้วมันพาให้กระโดดโลดเต้นกันไปมา จริงจังแบบหน้าดำคร่ำเครียด ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ...อย่าไปเลียนแบบอย่างนั้น 

ให้เลียนแบบพระพุทธเจ้า กับพระอริยสาวก เป็นเยี่ยงอย่าง นึกถึงพระพุทธเจ้าสิ นึกถึงคำเทศน์ของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าเป็นใคร สัพพัญญุตญาณ สัมมาสัมพุทธะ เป็นผู้ตรัสรู้  เป็นผู้ประเสริฐ

เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ที่ห่างไกลกิเลส เป็นผู้ที่ไม่มีกิเลส เป็นสุคโต เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจด ไร้ราคี ไร้มลทิน เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในสามโลกธาตุ เป็นหนึ่งในสามโลกธาตุ

การกระทำ สิ่งที่ออกมาจากท่านทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นความบริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงเรียกว่าพระธรรมคำสอนอันบริสุทธิ์ เคารพกันบ้างไหม เชื่อฟังกันบ้างไหม 

แล้วไปเปรียบกับผู้นำม็อบทั้งหลาย มันเป็นใคร...กับพระพุทธเจ้านี่ มันเป็นใคร ไม่ได้ธุลีตีนท่านเลยนะ กิเลสตัวเป็นๆ เน้นๆ น่ะ คำพูด การกระทำ อารมณ์ ทุกอย่างออกมาจากกิเลสล้วนๆ

นี่เรียกว่าธุลีดินกับพระอาทิตย์น่ะ ...แต่ทำไมถึงเคารพกันจัง หือ เคารพยิ่งกว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้าน่ะ ยอมให้คำพูดคำกล่าวอ้างนี่ กลายเป็นกฎเกณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ ยอมตายเพื่อกฎเกณฑ์นั้น

แล้วเทียบกับพระธรรมของพระพุทธเจ้าสิ ท่านบอกให้ตายเพื่อรักษาศีลนี้...ฮื้อ ทำไม่ได้ ...แต่ถ้าได้ใส่เสื้อแดง เสื้อเหลือง ได้เป่านกหวีดนี่...ตายกูก็ยอม อย่างเนี้ย มันไปเปรียบกันยังไง

เนี่ย ทำไมการนับถือมันนับถือกันแบบเอาไปเทียบกับ...เราถึงถามว่าเคยได้ยินพระธรรม เคยได้ยินคำสอน เคยได้ยินคำสั่งสอนอันเนื่องมาจากพระพุทธเจ้าใช่ไหม ทุกคนน่ะ

แต่ไม่เคารพ ไม่เคารพสิ่งดีงาม ไม่เคารพความบริสุทธิ์ในพระธรรม แม้จะเป็นภาษา ...แต่กลับไปเคารพภาษาจากปากหมามั้ง เราถึงบอกว่า งาช้างไม่งอกจากปากหมา

พระธรรมคืองาช้าง ออกมาจากปากพระพุทธเจ้า ออกมาจาก..ไม่ทันพระพุทธเจ้าหรอกพวกเรา ก็ออกมาจากพระสาวกที่เป็นอริยะสืบเนื่องกันมา ถ่ายทอดกันมาแบบตรงไปตรงมาตามธรรม

ไม่ใช่ไม่เคยได้ยิน ไม่ใช่ไม่เคยได้ฟัง ...แต่ไม่ค่อยเคารพ ไม่สมราคา มันเหมือนไม่สมราคา  กลับทำตัวเองให้ด้อยค่า แล้วไปเคารพบูชากับธุลีดินน่ะ

ถ้าเปรียบกับพระอาทิตย์นะ พระธรรมของท่าน ความบริสุทธิ์ของท่าน เอาว่าเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้เป็นพระอาทิตย์ก็ประเภทดาวฤกษ์ ก็ยังมีแสงสว่าง ...เทียบกับธุลีดินได้เหรอ

เลือกเอา จะเชื่อใคร จะทำตามใคร จะเอาอะไรเป็นตัวชี้นำ จะเอาอะไรเป็นโร้ดแม็พ เอาอะไรเป็นวิถีตัวชี้นำการดำรงชีวิตการดำเนินชีวิตไปจนตลอดชีวิต ...มันคุ้มมั้ยเล่า อะไรมันจะคุ้มกว่ากัน


(ต่อแทร็ก 12/38)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น