วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/33 (2)


พระอาจารย์
12/33 (561216E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
16 ธันวาคม 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 12/33  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นการกระทบ การปรากฏ อาการใดอาการหนึ่ง ไม่ว่าภายในหรือภายนอก ...มันจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจ แต่มันกลับเห็นว่า เหมือนกระดาษทราย เอาไว้ขัดให้มันขึ้นเงา ให้มันมัน

อะไรขึ้นเงา  อะไรมัน...คือใจใส ใจบริสุทธิ์ ...เพราะตอนนี้มันมีสนิม มันมีกิเลสครอบงำ มันมีอวิชชาปิดบัง ...ก็อาศัยผัสสะเหล่านี้ ในท่ามกลางการเดินมรรค อยู่บนมรรคนี่ เป็นเครื่องชำระขัดเกลา

นี่ มันเห็นว่าไอ้ที่เคยเป็นทุกข์ สร้างทุกข์ให้เรา  ไอ้ที่เคยเป็นสุข สร้างสุขให้เรา...ด้วยการเห็นด้วยการได้ยิน ...มันกลับเห็นว่าไอ้สิ่งเหล่านี้ เป็นเหมือนเครื่องมือในการทำความสะอาด

เป็นเครื่องชำระ ชะล้าง ขัดเกลา เหมือนกระดาษทราย ที่มาขัดเกลา อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ที่มันครอบงำใจไว้ ให้เกิดความเบาบางจางคลายลงไป ...มันก็รู้สึกว่า ยิ่งเจอ..ยิ่งดีโว้ย

แต่พวกเราตอนนี้นะเหรอ ยิ่งเจอ..กูยิ่งหนีโว้ย ไม่อยากเจอ นี่ ทุกข์ เจอทุกข์ หาว่าไอ้นี่มันมีแต่เรื่อง เห็นหน้ามันก็รู้แล้วมันจะต้องลากเรื่องอีกสิบเรื่องเข้ามา ยิ่งห่างไปไกลๆ สบายใจแล้ว นี่ มันจะหนี

แต่ตอนถึงจุดที่ว่านั้น ไม่กลัวแล้ว ไม่หนี ...เหมือนกันน่ะ กับขันธ์ สมมุติว่ามันเป็นภายในขันธ์ในกาย นี่ ป่วยไปหาหมอไม่ว่างไม่เว้น รีบกุลีกุจอว่าต้องหายๆ มีเงินเท่าไหร่ต้องทุ่มลงไปเท่านั้น

แต่พอถึงจุดนี้ มันก็รู้สึกชิวๆ ...ดูมันซะหน่อย เป็นยังไง นี่ เรียนรู้กับมันหน่อย ทำไมถึงต้องรักษามันวะ รักษาแล้วมันหายจริงหรือว่ามันแค่บรรเทา มันก็เรียนรู้

มันถึงว่าไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับมันมาก นี่สมมุติว่ายังไม่ได้ทิ้งกายโดยเด็ดขาดนะ ...แต่ถ้าทิ้งกายโดยเด็ดขาดนี่ รักษาก็ได้ ไม่รักษาก็ได้ มีค่าเสมอกัน จิตไม่กระเพื่อมเลย ไม่ขึ้นและไม่ลง

เหล่านี้ ถ้าพวกเราเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของมรรค ผลที่ได้รับที่แท้จริงจากการภาวนา ศีลสมาธิปัญญาที่แท้จริงคืออะไร การเจริญศีลสมาธิปัญญาที่ตรงที่ชอบ ที่ใช่ คืออะไร

การภาวนานี่จะไม่ใช่เรื่องยากเลย ...มันจะไม่เกิดภาวะที่สับสน หรือว่าดวงดี หรือว่าบังเอิญ...ไม่มีเลย ...มันเป็นไปตามกาล มันเป็นไปตามเหตุ มันเป็นไปตามปัจจัย

ทุกอย่างตรงไปตรงมาหมดเลย ไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีวกวน ไม่มีสลับหน้าหลัง ไม่มีทางลัดทางด่วนทางเร็ว ทางใช่หรือทางไม่ใช่ ...มีทางเดียว ...มีทางเดียว ไม่มีทางว่าใช่หรือไม่ใช่นะ 

เราถึงบอกว่า เราไม่สอนจริต เราไม่สอนอุบาย เราไม่สอนวิธีการ ...แต่เราบอกหลัก อะไรเป็นหลัก แล้วทำยังไงถึงจะอยู่กับหลักนี้ได้ ทำยังไงถึงจะเชื่อว่านี้เป็นหลัก ทำยังไงถึงจะยอมรับว่า เนี่ยเป็นหลักที่แท้จริง 

เมื่อยอมรับในหลักที่แท้จริงแล้ว มันจึงจะจับหลัก แบบไม่ให้ทิ้ง ไม่ให้ปล่อยหลักเลย ...เมื่อใดที่มันได้ชื่อว่าไม่ทิ้งไม่ปล่อยหลักเลย ท่านเรียกว่าผู้นั้นได้หลัก ได้หลักศีล ได้หลักกาย 

แล้วพร้อมกับที่มันได้หลักกายหลักศีล ...จะได้หลักใจด้วย เพราะมันจะเข้าใจว่า กายคืออันหนึ่ง ใจคืออันหนึ่ง กายคือธาตุหนึ่ง ใจคือธาตุหนึ่ง ...ได้กายก็ได้ใจ ได้หลักกายก็ได้หลักใจในระดับหนึ่ง

แล้วมันก็อาศัยธาตุรู้กับธาตุกายนี่ มาสืบค้นซึ่งกันและกัน จนมันทะลุปรุโปร่งในธาตุกาย หรือรูปธาตุ จนมันหมดสิ้นซึ่งความเป็นบุคคลในธาตุ

นั่นมันสืบค้นจนเห็นว่า มันเป็นธาตุจริงๆ ไม่ได้เป็นบุคคล คือมีชีวิตเป็นเราของเรา ธาตุคือธาตุน่ะ เหมือนก้อนดินก้อนหินกองทรายนี่ มันมีชีวิตตรงไหน

มันมีความเป็นบุคคล มันมีหน้าตาตัวตนของเรา มันมีหน้าตาเป็นใครของใครยังไง...ไม่เป็น มันเป็นธาตุ มันจะมีชีวิตตรงไหน ...นี่ มันสืบค้นความเป็นจริงของกาย

จนยอมรับ ในความเป็นแค่เพียงธาตุหนึ่ง กองหนึ่ง ดินน้ำไฟลมน่ะเป็นธาตุ สสารน่ะเป็นธาตุ พลังงานน่ะเป็นธาตุ แม้กระทั่งเวทนายังเป็นธาตุ เวทนาในกายนี่ ไม่ใช่เป็นเรา

แต่ตอนนี้ เมื่อยเป็นเรานะ เราเป็นเมื่อยนะ ไม่ใช่เป็นธาตุนะ เวทนาไม่เป็นธาตุเลยนะ มันว่าของมันว่า เราเมื่อยน่ะ มันมองยังไงก็มองไม่เห็นว่าเป็นธาตุตรงไหน

นี่แปลว่าอะไร ...มันยังไม่มีปัญญา มันยังเชื่อจิตมากกว่าเชื่อความจริง มันยังเชื่อจิตปรุงแต่ง มันยังเชื่อจิตของเรา มากกว่าความเป็นจริง เนี่ย...มันจึงทุกข์ไง

แต่ถ้ามันเชื่อความจริง...คือเห็นความจริงก่อน ถ้ายังไม่เห็นความจริงมันจะไปเชื่อความจริงยังไง ...พอมันเห็นความจริง ค่อยๆ เห็นตามจริง ค่อยๆ เห็นความเป็นจริงไปเรื่อย แล้วมันจึงเชื่อความเป็นจริง 

ทีนี้ก็ไม่มีเราทุกข์ในกาย อันนี้เวทนาในกาย ไม่ได้พูดถึงเวทนาในจิตนะ ถ้าพูดถึงเวทนาในจิต มันจะละเอียดขึ้นไปอีก ในเรื่องของอรูป อรูปภพ อรูปขันธ์ คือขันธ์ที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งมันมีเวทนาเหมือนกัน

แต่เวทนาทางกายก็คือ หนาว ร้อน ปวด คัน นี่กายตรงๆ หยาบๆ นะ ...นอกจากนี้ยังมีเวทนาทางตาอีก ผู้ชายมองผู้หญิง ชอบมั้ย มีความสุขมั้ย นั่น เวทนาทางตา

ผู้หญิงมองผู้ชายหล่อ ชอบมั้ย มีความสุขมั้ยในการมองในการเห็น เกิดเวทนาทางตา สังเกตยังไง ก็ลองไม่เห็นสิ อึดอัดนะ ผู้ชายเห็นผู้หญิงปั๊บ แล้วลองบีบไม่ให้มันเห็นสิ จิตจะสั่น ทุรนทุราย

แล้วก็มีเวทนทางหู เสียงเพราะ มันก็เกิดความสุขทางหู มีเวทนาขึ้นที่หู ...เห็นมั้ยว่าในกายนี่มันมีเวทนาหลายตัวนะ ทางปาก ทางรส ทางกลิ่น หอม-เหม็น พวกนี้ก็เป็นเวทนา

เพราะนั้น มันจะเลือก ... คือ “เรา” น่ะเลือก  หูไม่เลือก จมูกไม่เลือก ลิ้นไม่เลือก...“เรา” เลือก..ที่จะไม่ดมขี้แต่ไปดมดอกไม้  จมูกไม่ได้เลือกนะ “เรา” ต่างหากที่เลือก

แล้วก็ไปหมายว่า อันนี้คือหอม หอมดีกว่าเหม็น นี่มันไปแบ่งสันปันส่วน...ใครแบ่ง จมูกไม่ได้แบ่ง กลิ่นไม่ได้แบ่ง ...เห็นมั้ย กว่าที่จะออกจาก “เรา” ในกาย ออกจากกายเป็นเราได้นี่...รากเลือด  

ถ้าไม่จดจ้องจดจ่อกับกายจริงๆ เน้นๆ เนื้อๆ นะ ...มันจะไพล่ไปตามหูตาจมูก หาความสุขทางตาหูจมูก ด้วยความคุ้นเคย ด้วยความไม่แยบคาย ด้วยความไม่โยนิโสมนสิการ 

มีแต่มมังโส คือออกนอก ไปหา ไปทำ ไปตา ไปควาน ไปค้น ไปสร้าง ไปก่อ ไปกอด ไปเกาะ หรือไปหนี หรือไปผลัก หรือไปดัน มีอยู่แค่นั้นน่ะ ด้วยความเคยชิน 

ถึงบอกว่ามันจะต้องจับลงที่กายแบบเนื้อๆ เน็ทๆ เน้นๆ แบบจิตนี่ดิ้นไม่หลุดเลย ...ถ้ายังปล่อยให้จิตเอ้อระเหยลอยนวลอยู่ แล้วไปถือหาง..คอยดูอาการเกิดอาการดับของมันอย่างนี้ ...นั่นมันไล่ไก่ออกจากเล้า

แต่วิธีการที่เป็นหลักการศีลสมาธิปัญญานี่จะเหมือนต้อนไก่เข้าเล้า ...คือจะได้ฆ่ามันทั้งคอก แล้วก็เหลือแต่คอกร้างๆ น่ะ ...เพราะจริงๆ น่ะมันไม่มีไก่หรอก

พระพุทธเจ้าบอก ไม่มีเราในขันธ์ห้า ไม่มีขันธ์ห้าในเรา ...แต่พวกเราตอนนี้มันไก่บักใหญ่แม่พันธุ์พ่อพันธุ์ แล้วก็ยังมีลูกเต้าหลานเหลนโหลน เป็นล้านๆ อยู่ในนั้น

แล้วเราเปิดคอก..คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่...เปิดแบบไม่ปิดเลย แล้วยังสนับสนุนให้มันไปออกลูกออกหลานอยู่ตามป่าละเมาะชายป่าชายเขา บนบ้านคนนั้น บนบ้านคนนี้ ...จะฆ่ามันหมดไหมนี่

แต่วิธีการหรือหลักคือ เอ้า..กุ๊กๆๆๆ เข้าเล้าโว้ย กุ๊กๆๆ ล่อมันเข้าเล้า ...ทีนี้ไก่มันจะอยู่ถึงอนันตาจักรวาล สุดขอบจักรวาล...ก็มา มันถูกรวบรวมมาอยู่ในที่อันเดียว คือเราในปัจจุบัน เรานั่งในปัจจุบัน

นี่ไก่เข้าเล้าแล้วนะ  แต่ยังมีไก่ เอ้กอี้เอ้กๆ เป็นเราอยู่ คือเรานั่ง ...แต่มันไม่มีไก่ที่อื่น ไม่มีไก่ตัวที่อนันตาจักรวาล หรืออยู่ที่ไหนก็ไม่รู้  มันถูกรวมมาอยู่ที่รู้เดียวเราเดียว..ในปัจจุบัน

มันก็ง่ายต่อการฆ่าและฟัน หรือจะเลี้ยงมันไว้ หรือจะให้อาหารการกินให้มัน หรือจะอดอาหารมัน หรือจะเด็ดปีกเด็ดหางถอนขนมัน หรือจะเอาข้าวโปรยให้มัน..ก็แล้วแต่

คือถ้าสอนให้มันมาอยู่อย่างนี้ แล้วยังเอาข้าวไปให้มันกิน ก็โง่แล้ว ...จำกัดอาหารการกินของมัน อย่าให้มันไปได้กินอาหารทางหูทางตาทางจมูกทางลิ้น อย่าให้มันไปเสวยเวทนาทางหูทางตาทางกายทางใจ

อึดอัดนะ...อึดอัด เพราะไก่มันก็อยากมีชีวิตรอด ใช่มั้ย มันจะได้แพร่พันธุ์ พอมันแพร่พันธุ์แล้วมันมีฝูง แล้วมันจะไปตีกับใครก็ได้ กูใหญ่อ่ะ ฝูงกูใหญ่ เนี่ย


โยม –  แต่หนูยังต้องทำงาน พบเจอพบปะผู้คนน่ะค่ะพระอาจารย์

พระอาจารย์ –  เราก็ต้องยอมรับ ว่าในหน้าที่อย่างนั้น ทำได้เท่าที่จะทำ ...จะยังไงก็ไม่สามารถจะไปรักษากายใจแบบเบ็ดเสร็จเหลือแต่สองสิ่งอย่างเดียวได้ ...นี่คือวิบากที่เราจะต้องรับ


โยม –  ค่ะ

พระอาจารย์ –  แต่อย่าไปอยู่ใต้อุ้งมืออุ้งตีนของมัน โดยตรง เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เข้าใจมั้ย ใช้โอกาสเท่าที่จะทำได้...ตามกำลัง นึกน้อม น้อมนำอยู่ตลอด สร้างนิสัยใหม่ สร้างนิสัยแห่งการรู้ตัวขึ้นมา ถือว่าเป็นการสร้างนิสยปัจจโยขึ้น


โยม –  ไม่ต้องหาเครื่องอยู่อะไร แค่รู้สึกว่า...

พระอาจารย์ –  แค่รู้ว่านั่งอยู่อย่างเนี้ย กำลังนั่งก็รู้ว่านั่ง ถามตัวเองอยู่อย่างนี้ ไม่ต้องไปหาอะไรมากกว่านี้ ไม่ต้องไปหวังผลอะไรมากกว่านี้ หวังผลอย่างเดียวว่ารู้ตัวมั้ย เดี๋ยวนี้รู้อยู่มั้ย ...เอาแค่นี้พอก่อน 

ไอ้จะละกิเลสละสักกาย แล้วก็จะฆ่าไก่แบบเบ็ดเสร็จยกเล้า อย่าถาม อย่าพูด ยังไม่ถึง ...ถึงก่อนว่ารู้ตัวรึยัง อยู่กับเนื้อกับตัวรึยัง มีกายกับรู้อยู่ที่เดียวกันรึยัง ...ตรงนี้ก่อน 

ทำงาน ทำหน้าที่...เรียกว่าประพฤติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ไม่ข้ามธรรม ไม่ล่วงเกินในธรรมส่วนที่ยังไม่ใช่ ส่วนที่จะต้องเป็นส่วนเราคือส่วนหยาบ อย่าไปล่วงเกิน ไปทำในส่วนละเอียด ตามธรรมไป โง่ๆ ไป

ใครเขาจะได้อะไร ก็...เออๆ อนุโมทนาๆ เดี๋ยวตามไปนะ อือ เดี๋ยวตามไป ...เอ้า ตามไปแล้ว มึงไปอยู่ไหน ทำไมมึงไปอยู่นรกวะ อ้าว นึกว่าไปถึงแล้ว อย่างนี้ก็ได้ เข้าใจมั้ย

อย่าไปเห่อเหิมตามกันแบบต้อยๆ เขาจูงไปไหนรู้รึเปล่า มันแน่ใจรึเปล่า มันมีอะไรมายืนยันได้จริงๆ รึเปล่า อย่าเพิ่งเชื่อนะ เมื่อมันไม่สามารถจะเอาอะไรมายืนยันได้ อย่าเชื่อ

ไม่ให้ไปเชื่อ แล้วเชื่ออะไรดี ...ก็ไอ้ตัวที่มันนั่งนี่ กูว่าจริงนะ มันมีอยู่จริงนะ มันไม่โกหกนะ รับรองว่าตัวนี้ไม่โกหกแน่ๆ ไม่มีอะไรจริงกว่าศีล ...ไม่มีอะไรจริงกว่าศีลนะ ในสามโลกนี่

แต่ที่เขาบอกว่าเขาได้นู่นเขาเป็นนี่ เขาได้ธรรมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ยังเชื่อไม่ค่อยได้น่ะ ...แต่ไอ้การนั่งนี่ ความรู้สึกหนาวนี่ เย็นนี่ เย็นมั้ย จริงมั้ย...จริง

อย่าให้กิเลสมันหลอก อย่าให้ความปรุงแต่งมันหลอก อย่าให้หู อย่าให้ตา อย่าให้รูป อย่าให้เสียง อย่าให้กลิ่น อย่าให้รสนี่มาหลอก อย่าให้อะไรก็ตามมาหลอกว่าจริงกว่าศีล

น้อมกลับๆ โอปนยิโกๆ ...ยูเทิร์นๆ มันจะไป..ไม่ไป ยูเทิร์น เอาตรงนี้ล่ะวะ อันนั้นจริงรึเปล่าไม่รู้ เอาไว้ก่อน เดี๋ยวก็เจอรู้เองว่าจริงหรือไม่จริง ...แต่ตรงนี้จริงแน่ๆ กูขออยู่ของจริงไว้ก่อน

และถ้าอยู่กับของจริง พระพุทธเจ้าบอกว่า...ใกล้ความจริง อยู่กับความเป็นจริงเท่าไหร่ ปัญญาจะเกิดขึ้นเท่านั้น ...แต่ถ้าไปใกล้เคียงชิดแนบ กอดเกาะกับสิ่งที่ไม่จริงเท่าไหร่ ทุกข์เกิดขึ้นมากเท่านั้น

นี่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วอย่างนี้ ถ้าพระพุทธเจ้าบอกว่า อยู่กับของจริง ใกล้ของจริงแล้วจะเกิดปัญญา ก็น่าจะเชื่อท่านนะ แล้วก็สมควรจะเชื่อท่านนะ

สุดท้ายแล้วก็ เออ ต้องเชื่อเลยว่ะ กูเชื่อแล้ว ...นี่ ด้วยการที่มันทำเองแล้วมันรู้เอง แล้วมันเห็นเองว่า เออ ปัญญามันเกิดจริงๆ ...ทีนี้มันไม่ปฏิเสธศีลแล้ว ว่าศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาอย่างไร

ว่าศีลเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ เกิดปัญญาอย่างไร ว่าศีลนี่เป็นเหตุให้เกิดความละความปล่อยความวาง ในเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวง ตั้งแต่ขันธ์ยันโลกสามโลกธาตุได้อย่างไร

ซึ่งตอนนี้พวกเรายังประมาทในองค์ศีลอยู่ ว่า...แค่เนี้ย รู้ตัวแค่เนี้ยนะ เออะ ไม่น่าน่ะ ไม่ได้อะไรแน่เลย ... แน่ะ มันยังประมาทอยู่นะ ไม่เห็นคุณค่าของกายปัจจุบัน

มันยังไม่เห็นคุณค่าว่า รู้แค่นี้เองเหรอ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ...นี่ ลึกๆ มันจะรู้สึกอย่างนี้  เขาเรียกว่ามันยังไม่เห็นผล มันจึงเกิดความที่ยังประมาทในศีลอยู่

พอมันทำไปเรื่อยๆ อดทนทำไปด้วยความพากความเพียร ด้วยขันติ ...มันก็เกิดผล เกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา จากองค์กายนี้ จิตมันก็รวบรวมเป็นกอบเป็นกำ ตั้งมั่นขึ้นเป็นกอบเป็นกำ

ก็รู้แล้ว...ถ้าไปตั้งมั่นอยู่กับจิต กูไม่เคยเป็นกอบเป็นกำกับการดูจิตเลย เดี๋ยวก็รู้..แล้วก็หาย จิตหาย รู้ก็หาย เออ ดูอารมณ์เกิดดับๆ ดูได้สักช่วงระยะหนึ่ง รู้ก็หาย 

แล้วพออาการมันล่องลอย เผลอเพลิน เลื่อนลอยไป หรือว่าหาย หรือว่าจางคลายไปหมดจากความคิด รู้ก็หายไปด้วย รู้ไม่เคยอยู่เลย มันเลื่อนลอยๆ ไปเรื่อย

แต่พอมาสังเกตดู ถ้ามาลองรู้อยู่กับกายนี่...กายไม่หาย รู้ก็ไม่หาย เห็นมั้ยว่าจิตมันจะรวมเป็นกอบเป็นกำกว่ากัน นั่นแหละสัมมาสมาธิ ต้องการกำลังของจิตที่มันรวมเป็นกอบเป็นกำนี้ เป็นบาทฐานของปัญญา

ถ้าไม่มีสมาธิ อย่าไปพูดถึงปัญญา ...ถ้าไม่มีปัญญา อย่าไปพูดว่าละเลิกเพิกถอนล้างอวิชชาตัณหาออกจากใจ


(ต่อแทร็ก 12/34)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น