วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/32


พระอาจารย์
12/32 (561216D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
16 ธันวาคม 2556


พระอาจารย์ –  พวกเราละเลย ...อย่าละเลยกาย อย่าละเลยศีล อย่าล่วงเกินศีล อย่าก้าวข้ามศีล แล้วเอาศีลน่ะไปไว้ข้อท้ายเลย ...ส่วนมากมันจะเอาอย่างนั้น เอาของหยาบไว้ทีหลัง 

ว่าถ้าละละเอียดได้ เห็นละเอียดได้แล้วละได้ เดี๋ยวมันก็ละหยาบได้เอง ..นั่นมักง่าย มักง่ายเกินไป เหมือนบันไดมีห้าขั้นน่ะ เราจะขึ้นไปถึงขั้นที่ห้า แต่ว่าบันไดขั้นที่หนึ่งสองสามนี่ไม่มีเลย ไม่ได้สร้างบันไดขั้นต้นนี้ 

พอไม่ได้ก้าวขึ้นบันไดขั้นต้นนี้ จะกระโดดขึ้นไปถึงขั้นที่ห้าเลย มันก็พลัดตกหกล้มอยู่ตลอดเวลา ไปไม่ถึง เหมือนตะกายดาว ...ได้ก็ได้ไม่จริง หลุดก็หลุดไม่จริง พ้นก็พ้นแบบขว้างงูไม่พ้นคอ

แต่ถ้าเริ่มไปตามลำดับลำดา...ศีล-สมาธิ-ปัญญา ว่าอย่างไรตามอย่างนั้น ...เพราะนั้นสิ่งที่พวกเราขาด คือหนึ่ง..ศีล สอง..สมาธิ อย่าถามถึงปัญญา ...สร้างสองตัวนี้ให้ได้ นี่คือรากฐาน

เมื่อกี้เราบอกแล้ว ก่อนที่โยมจะมา เราก็พูดแล้วว่า ศีล-สมาธิ ...อานิสงส์ของศีลคือทำให้เกิดสมาธิ  อานิสงส์ของสมาธิ จึงทำให้เกิดการบรรเทาทุกข์ก่อน

บรรเทาทุกข์ขนาดไหน ...บรรเทาทุกข์คือบรรเทาจิตที่มันออกไปหาทุกข์  แล้วไอ้จิตที่มันออกไปหาทุกข์ในระดับหยาบระดับต้นคืออะไร ...นิวรณ์ ๕ รู้จักไหม

นิวรณ์ ๕ คือกิเลสที่กางกั้นสมาธิ มีกามราคะ พยาบาท ถีนมิทธะ..ความง่วง อุทธัจจะกุกกุจจะ..ความฟุ้งซ่านรำคาญ วิจิกิจฉา..ความสงสัย ...มีอยู่ ๕ ตัวนี่

เพราะนั้นเมื่อมีศีล..จิตเป็นหนึ่งอยู่กับกาย ไม่ส่งออกนอกกาย ไม่ส่งออกจากปัจจุบันกาย ...อานิสงส์ของศีล..จิตจะไม่เศร้าหมอง คือจิตมันจะเกิดสมาธิ และสมาธิมันจะเกิดการที่ไประงับนิวรณ์ ๕

นิวรณ์ ๕  ตัวนิวรณ์ ๕ มันเกิดเพราะอะไร ...เกิดเพราะจิตมันส่งออกนอกตัว ส่งออกนอกกาย ...ตัวสมาธินี่มันจะไประงับนิวรณ์ ๕ โดยการที่มันทำให้จิตนี่ไม่ส่งออกนอกกาย

มันจะอยู่กับกาย มันจะอยู่กับศีล จิตมันจะกลับมารักษาศีล โดยสติเป็นเชือกที่ผูกจิตให้มันอยู่ในกรอบของกาย กรอบของปัจจุบันกาย เพราะฉะนั้นนิวรณ์จึงไม่เกิด

นี่เรียกว่าบรรเทาทุกข์ในระดับต้น ราคะก็ระงับ ปฏิฆะก็ระงับ ความสงสัย..ถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ใช่ ถึงหรือไม่ถึง จริงหรือไม่จริง  พวกนี้ก็จะระงับ..แค่ระงับนะ ยังไม่ใช่เป็นตัวละวิจิกิจฉาในสังโยชน์

แล้วก็ระงับความฟุ้งซ่านในธรรม ค้นนั่นหานี่ วิธีการนั้นวิธีการนี้ ตำรับตำราองค์นั้นองค์นี้ องค์นี้เขียนว่าอย่างนั้น อาจารย์องค์นี้สอนอย่างนั้น อาจารย์องค์นั้นสอนอย่างนี้ ...พวกนี้ระงับหมด

จิตมันก็มารวมรู้รวมเห็นอยู่ในกรอบกาย กรอบศีล กรอบปัจจุบัน คือมีศีลแล้ว มีสมาธิแล้ว ...ตรงนี้ เมื่อมีสมาธิตรงนี้ที่เรียกว่าเป็นสัมมาสมาธิเกิดขึ้นแล้วนี่ จึงเป็นบาทฐานของปัญญา

ตรงนี้ปัญญาจะเกิดแล้ว ...ปัญญาเกิดยังไง  ปัญญาเกิดจากจิตรู้และเห็น ไม่ใช่จิตคิดและปรุง จิตที่รู้และเห็นคือจิตที่เป็นสมาธิ จิตที่เป็นหนึ่ง จิตที่ตั้งมั่นอยู่ภายใน

จิตที่ไม่มีความคิด ไม่มีความจำ จิตที่ไม่มีความเชื่อ จิตที่ไม่มีความเห็น จิตที่ไม่มีภาษา จิตที่ไม่มีบัญญัติ มันมีแค่รู้ มันมีแค่เห็น ...ก็เรียกว่าจิตอยู่ในสมาธิ

ตรงนี้คือรากเหง้าของปัญญา ตรงนี้คือเหตุที่จะทำให้เกิดปัญญา ...เพราะว่ามันมีแค่รู้และมีแค่เห็น มันไม่มีอาศัยความคิดมาต่อมาเติมมาเสริมกับศีลกับกายที่มันปรากฏต่อหน้า เบื้องหน้ามัน

เพราะนั้นจิตดวงนี้มันจึงจะไปเห็นกายแบบดิบๆ ตรงๆ แบบไม่มีอะไรครอบงำ ...อะไรที่ครอบงำ ...ความคิดไม่มีครอบงำ ความเชื่อไม่มีครอบงำ ตำราไม่มีครอบงำ ภาษา บัญญัติ ไม่มีครอบงำ

มันก็จะเห็นกายแบบตรงๆ ตรงไปตรงมาตามที่มันปรากฏจริงๆ อาการที่จิตเป็นสมาธิ หรือสัมมาสมาธิ หรือดวงจิตผู้รู้อยู่ มันเกิดดวงจิตผู้รู้ขึ้นมา มันก็รู้ไปตรงๆ เห็นไปตรงๆ 

ไอ้อาการที่รู้ตรงๆ เห็นตรงๆ โดยที่ไม่ได้คิด ไม่ได้วิเคราะห์ ไม่ได้มีภาษาไปเทียบเคียง ขยายความ หรือไปเปรียบเทียบ ตรงนี้ อาการที่รู้เห็นตรงๆ ด้วยสัมมาสมาธิ ด้วยดวงจิตผู้รู้นี่ ...ท่านเรียกว่าญาณทัสสนะ 

ไอ้ตัวญาณทัสสนะนี่บังเกิดขึ้นเพราะสมาธิ...ที่เป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่สมาธิคือความสงบ แต่มันจะเป็นสมาธิที่ตั้งมั่น รู้และเห็น อยู่แค่รู้และเห็น

เมื่อมันเห็น มันจะไปเห็นอะไร ...ในเมื่อจิตมันถูกบังคับ ถูกควบคุมด้วยอำนาจสติและศีล ให้มันอยู่ในกรอบกายกรอบศีล ...มันจะไม่ไปเห็นอะไรเลยนอกจากกายที่อยู่เบื้องหน้ามันน่ะ

แล้วเมื่อมันเห็นกายอย่างที่มันปรากฏ เท่าที่มันปรากฏ...ด้วยญาณ ด้วยญาณทัสสนะ ไม่ใช่ด้วยความคิดด้วยความปรุง แต่ด้วยญาณ คือมันรู้เห็นเปล่าๆ

มันก็เข้าไปเห็นกาย..ที่เป็นกายแก่นแท้ของกาย มันก็เข้าไปเห็นกายที่ไม่มีความเป็นเรา มันก็เห็นเป็นกายที่ไม่มีความเป็นชื่อ มันก็เห็นกายที่ไม่ได้มีความสวยหรือความไม่สวย

มันก็ไปเห็นกายที่เป็นกายอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีความหมาย เป็นเพียงแค่สิ่งหนึ่ง อาการหนึ่ง ลักษณะหนึ่ง การปรากฏขึ้นหนึ่ง เป็นธรรมชาติหนึ่ง ไม่มีคำพูด ไม่มีภาษา ไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย

นั่นแหละที่ว่า มันจะเห็นกายสักแต่ว่ากายจริงๆ ...ไม่ใช่แค่อ่าน ไม่ใช่แค่จำ  แต่มันจะเห็นจริงๆ ว่าแค่เป็นสักแต่ว่าอะไรก็ไม่รู้อย่างหนึ่ง นั่นภาษาท่านเรียกว่าเห็นกายสักแต่ว่ากาย

แต่เมื่อใดอำนาจของศีล อำนาจของสมาธิ มันอ่อนด้อยลง หรือว่าเสื่อมทรามลง ...จิตมันจะแตกตัวออก เนี่ย ตอนนี้จิตจะแตกตัวแล้วนะ

แล้วไงล่ะ ..ถ้ายังติดข้องอยู่ในการดูจิตนะ ทั้งที่ว่ามันแตกตัว ยังไปดูมันอีก เข้าใจมั้ย จะไปดูมันทำไม ไม่ได้ต้องการให้ดู ...ต้องการให้ละมันเลย

เพื่อจะให้รวมจิตมาเป็นรู้ รวมจิตมาเป็นเห็น เพื่อมารู้เห็นกับกาย ...ไม่ต้องการให้ไปรู้เห็นกับจิต ต้องการให้มารู้เห็นกับกาย เพราะกายเป็นของหยาบ

เมื่อกี้เราบอกแล้ว เราจะต้องการละของหยาบ ต้องการสร้างปัญญาหยาบ เพื่อให้เกิดการละวางของหยาบ ขันธ์หยาบ เพื่อจะได้พัฒนาขึ้นไปเป็นปัญญาขั้นกลาง ละเอียด ปราณีต เข้าใจมั้ย

เพราะนั้นจิตมันแตกออกมา หมายความว่าสมาธิมันแตกแล้ว มันเสื่อมแล้วสัมมาสมาธิ ...แล้วก็ยังไปถือหาง นั่งดู คอยเฝ้าอยู่ทำไมล่ะ ...จะไปดูมันทำไม ก็วางซะ ปล่อย ทิ้ง

ถ้าดับได้ดับเลย  นี่ต้องดับเลย ดับด้วยการหยุดที่รู้ หยุดอยู่ที่เห็น หยุดอยู่กับกายเลย จิตมันจะค่อยๆ เสื่อมโทรม แปรปรวน อ่อนลง ซาลง หดลง เงียบลง ไม่มีน้ำหนักมากขึ้น เบาบางลงๆ

จนหยุด...จิตว่าง จิตหยุด จิตนิ่ง จิตปรุงแต่งนี่ พอมันหยุด มันนิ่ง ไม่ปรุง ไม่มีน้ำหนัก  มันก็จะรวมอยู่เป็นแค่จิตรู้จิตเห็น ...นั่นแหละสมาธิเริ่มมาอีกแล้ว เริ่มเกิดแล้ว

เพราะนั้นไอ้ตัวจิตรู้จิตเห็น..ที่มันตั้งมั่นรวมรู้รวมเห็นอยู่ภายในนี่ อย่าเพิ่งตายใจ เข้าใจมั้ย ...อย่าเพิ่งไปกินนอนอยู่กับมัน หรือว่าพอแล้ว สบายใจแล้วได้แค่นี้ 

ว่าจิตมันอยู่กับรู้อยู่กับเห็นก็ดีแล้ว มันตั้งมั่นไม่หายไปไหนก็รู้อยู่กับรู้ๆๆๆ ...นี่ มันก็ไม่เกิดปัญญาอีกเหมือนกัน ...มันก็ต้องเอารู้นั่นน่ะมาเห็น เอาจิตรู้รวมรู้รวมเห็นที่ไม่ได้คิดไม่ได้นึกนั่นน่ะ

อย่าไปดีอกดีใจ ตีปีก กางปีก กางขากางแขนสบายนอนอยู่กับมัน ก็เอาออกมาทำงาน ให้มันทำงาน ทำงานด้วยการสอดส่อง สังเกต อากัปกริยาอาการความรู้สึกในกาย

เห็นมั้ย เมื่อมันเป็นสมาธิแล้วไม่ใช่ไปนอนตายกับสมาธินะ ...ขนาดอยู่ในจิตผู้รู้แล้วมันยังไปนอนตายกับดวงจิตผู้รู้ยังได้เลย ...นี่ไม่ได้พูดถึงอารมณ์ที่ได้จากความสงบนะ ไอ้นั่นยิ่งคนละเรื่องเลย

ไอ้ที่นั่งพุทโธๆๆ กำหนดลมหายใจแล้วจิตหาย จิตว่างน่ะ สบายไปแล้วก็ไปนอนอยู่กับมันนั่นน่ะ อันนั้นยิ่งกว่านี้อีก ...แต่แม้แต่ดวงจิตผู้รู้ ก็ยังไปนอนอยู่กับดวงจิตผู้รู้นี่ไม่ได้เลย

ก็อาศัยดวงจิตผู้รู้...ยังต้องมารู้ในสิ่งที่มันรู้ ในสิ่งที่มันเห็นเบื้องหน้ามันคือกาย ด้วยความโยนิโสมนสิการ ด้วยความแยบคาย ...นี่ปัญญาเกิดนะ ด้วยความแยบคาย ด้วยความโยนิโสมนสิการ

คำว่าโยนิโสมนสิการนี่ ไม่ได้หมายถึงคิดเป็นภาษา ไม่ได้หมายความว่าหยิบยกมาวิเคราะห์วิจารณ์เป็นภาษาเลยนะ  ท่านใช้คำว่าแยบคาย ด้วยความละเอียด ด้วยความสอดส่องให้ทั่ว

สังเกตเงียบๆ รู้เงียบๆ เห็นเงียบๆ ในการปรากฏขึ้นเงียบๆ ของกาย เป็นความรู้สึกเงียบๆ ที่มันปรากฏ...เป็นก้อน เป็นแท่ง เป็นกอง เป็นหนัก เป็นหนาว เป็นเย็น เป็นอุ่น เป็นไหว เป็นยวบยาบ

นี่ เป็นพวกนี้ มันปรากฏไม่เป็นภาษา เงียบๆ ใช่มั้ย ...ก็รู้เห็นแบบเงียบๆ กับสิ่งที่มันเงียบๆ จิตก็จะเงียบไปเรื่อยๆ เงียบไปเรื่อยๆ ...พร้อมกับอะไร ผลก็คืออะไร

ความปรากฏขึ้นเงียบๆ ของกายก็จะชัดขึ้นเรื่อยๆ  ตัวจิตผู้รู้ก็จะชัดขึ้นเรื่อยๆ  ศีลก็บริบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ  สมาธิก็บริบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ  ผลแห่งการรู้การเห็นในกาย ก็เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นปัจจัตตัง...อ้อๆๆ

อ้ออะไร ...อ้อ มันไม่ใช่เราจริงๆ โว้ย ...นี่มันอ้อ ไม่มีภาษา มันอ้ออะไรไม่รู้แหละ ...แต่พอมัน..อ้อ เข้าใจๆ เข้าใจในตัวของมันอยู่อย่างนั้น โอ้ย มันเป็นแค่นี้จริงๆ โอ้ย มันเป็นแค่นี้จริงๆ

ตรงนี้คือความเบาบาง ผลคือความเบาบางจากความหมายมั่นในกายเป็นเรา มันค่อยๆ จางลง ...ไอ้ค่อยๆ จางลงนี้แหละ คือความหมายที่ว่า ค่อยๆ คลายออกจากสักกายทิฏฐิ คือยึดมั่นถือมั่นว่ากายนี้เป็นเรา ของเรา

ไม่ต้องไปเปลี่ยนที่เลย อยู่ที่เดียว กายเดียวนี่แหละ จนกว่ามันไม่เข้าไม่ออกน่ะ จนกว่ามันจะเบ็ดเสร็จในกายน่ะ จนกว่ามันจะหากายไม่เจอน่ะ ...อย่าว่าแต่แค่ "กายเรา" เลย  จนกว่ามันจะหากายไม่เจอน่ะ 

จิตผู้ไม่รู้นี่ เมื่อใดที่มันหากายไม่เจอ ...ไม่เจอในความหมาย ไม่เจอในสมมุติ ไม่เจอในความมีความเป็นในลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่มีชื่อนั้นเสียงนี้นี่...จบ จบเรื่องกาย

จิต...ดวงจิตผู้ไม่รู้ ดวงจิตอวิชชา ดวงจิตตัณหา ดวงจิตที่เป็นอุปาทานที่เนื่องด้วยกายนี่...ตาย  อวิชชาก็ขาด...หนึ่งในห้า ...หนึ่งในห้ายังไง ก็เพราะขันธ์มันมีห้า

เมื่อกายขาดนี่ อวิชชาจะหายไปส่วนหนึ่งเลย...ยังไม่ใช่หัวนะ  ที่หายไปหนึ่งในห้า ถ้าหนึ่งในห้านี่หายไปนะ มันเหมือนเกิดใหม่เลยน่ะ บอกให้ มันเหมือนพลิกไปเลยน่ะ

ไอ้ที่เคยเป็นสุขในการเห็น ไอ้ที่เคยเป็นทุกข์กับการได้ยิน ไอ้ที่เคยทุกข์กับอดีตกับอนาคตที่เราจะได้หรือเราจะไม่ได้ ที่เราจะเจอเหตุการณ์อย่างนั้นอย่างนี้ในโลก ...หายไปเป็นปลิดทิ้งเลย 

ไม่มีความกระวนกระวาย เร่าร้อน กระเสือกกระสน ในลักษณะของรูป เสียง กลิ่น รส ของกาย ของความปวดเมื่อย ความหิว ความบีบคั้น ความเป็นทุกขเวทนา ความแก่ความเจ็บความตายในกาย...ไม่มี

แล้วจะรู้เองว่ามันเหมือนกับปลิดทิ้งยังไง เหมือนกับมันยกภูเขาออกจากอกไปเลย นี่เรื่องกาย...แค่หนึ่งในห้านะเนี่ย


โยม –  นี่หมายถึงดูจนละกายได้อย่างนั้นแล้วหรือคะ

พระอาจารย์ –  ใช่ ถ้ายังละไม่ได้ อย่าออกนอกกาย


โยม –  แล้วมันจะรู้เองหรือคะพระอาจารย์

พระอาจารย์ –  รู้เอง มันละได้เอง มันก็ต้องรู้เองแหละ ไม่ต้องให้ใครมาบอก


โยม –  เวลาดูกาย เวลาเดินก็รู้ว่านี่เดินอยู่ คุยกับเขาอยู่ก็รู้ว่ากำลังคุย

พระอาจารย์ –  ใช่ๆ ปากขยับก็รู้ไป กลืนน้ำลายก็รู้ไป อะไรก็ได้ เรื่องของกาย แวดวงกาย  อย่าให้มันออกนอกปริมณฑลกาย ตราบใดที่ยังตอบโจทย์ของตัวเองไม่ได้ ...ละกายได้รึยัง ถามสิ


โยม –  ยังค่ะ

พระอาจารย์ –  เออ ก็แปลว่ายังออกจากกายไม่ได้ 

แต่ถ้ามันสามารถตอบได้ ด้วยความชัดเจนในตัวของมันเองว่า กูไม่แยแสมึงแล้วนั่นแหละ ...ขนาดกูไม่แยแสมึงแล้ว กูยังไม่ค่อยเชื่อมึงเลย ยังซ้ำอยู่นั่นน่ะ เอามันจนแน่ใจเลยน่ะ

พอไอ้ลูกนี้...เรื่องกายนี่ออกจากขันธ์ หรือว่าการที่จิตมันไม่ไปเกิดในกายแล้วนี่ จิตผู้ไม่รู้ไม่ไปเกิดเป็นเราในแขนในขา ในหน้าในตาในตัวในนั่งในยืนในเดินแล้วนี่

ไอ้ที่เหลือสี่ขันธ์นี่...จิ๊บๆ ชิวๆ วางใจได้แล้ว ตายก็ไม่เสียดายชาติเกิดแล้ว บอกให้เลยนะ ถึงตรงนั้นน่ะ มันไม่อาลัยอาวรณ์เลยในการจะเกิดหรือไม่เกิด

เพราะอะไร ...ก็กูไม่เกิดเป็นคนแล้ว ไม่มาเกิดมีกายหยาบนี้อีกต่อไปแล้ว เบ็ดเสร็จๆ ...มันจะไม่วางใจยังไง หือ ตายตอนนี้ก็ไม่เสียดาย เพราะมันจะไม่มาเกิดเป็นกายคน กายเดรัจฉาน ไม่มีแล้ว

อย่างมากเหลือชาติเดียวๆ ...แล้วชาติที่ไม่มีกายนี่ สบายจะตายชัก  คือไม่มีกายก็หมายความว่ายังไง...ก็ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น ..ก็หมายความว่าไม่หิว ไม่ร้อน ไม่เมื่อย ไม่ปวด สบายไหม...สบาย 

ไม่ต้องคอยทะนุบำรุง ไม่ต้องคอยอาบน้ำประแป้งให้มัน ไม่ต้องคอยห่มผ้าให้มัน ไม่ต้องพามันไปกิน ไม่ต้องพามันไปขี้ไปเยี่ยว ...สบาย วางใจได้แล้วระดับหนึ่ง 

แล้วก็เป็นระดับที่เป็นเรื่องใหญ่นะ...เรื่องกายนี่เรื่องใหญ่นะ ไม่ใช่เรื่องรอง ไม่ใช่เรื่องหลัง ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ...คิดดูแล้วกัน กามคุณ ๕ กามภพกับรูปภพน่ะ กายนี่

เมื่อกี้เราบอกแล้วไฟที่มันมอดไหม้จากอำนาจของกิเลส ที่มันยึดมั่นถือมั่นในกายนี่ ...จากที่เหมือนกับไฟมันเผาสามโลกธาตุ มันลุกไหม้สามโลกธาตุ 

พอเรื่องของกายหมดนี่ คือไฟที่ไหม้สองโลกธาตุ ดับโดยสิ้นเชิง ความเย็นจะมาปกคลุม... ความเย็นของใจที่มันแผ่กระจายออกมานี่ ครอบคลุมเท่ากับไฟที่มันลุกสองโลกน่ะ 



(ต่อแทร็ก 12/33)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น