วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/30


พระอาจารย์
12/30 (561216B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
16 ธันวาคม 2556


พระอาจารย์ –  เพราะนั้น การที่จะล้างไฟที่มันหุ้มใจที่สงบเย็นระงับโดยธรรมชาติ

โดยที่ไม่ต้องทำ มันเป็นธรรมชาติที่ไม่ต้องทำ ...ใจมันเย็นอยู่แล้ว ไม่ใช่ไปทำให้มันเย็น ไม่ต้องทำให้มันสงบ มันก็สงบในตัวของมันอยู่แล้ว นี่คือความสงบที่แท้จริงของใจ 

แต่พวกเรายังเข้าไม่ถึงความสงบที่แท้จริงของใจ เรายังอยู่แค่ความสงบของอารมณ์..ที่จิตเราสร้างขึ้นมา ...มันคนละสงบ มันคนละตัวกัน 

เพราะนั้น การที่มันจะเข้าสู่ความสงบที่แท้จริง คือเข้าถึงใจ เข้าถึงธาตุรู้ ...เวลาจะเข้าสู่ธาตุรู้ มันก็ต้องเอาไอ้สิ่งที่มันห่อหุ้มธาตุรู้นี้ออก คือแหวกกองไฟนี้ออก หรือทำให้มันไม่โหมไหม้ด้วยการไปสุมเชื้อเพลิงไว้ ไฟมันก็ไม่โรยรา

แต่ว่าเมื่อใดถ้ามันทำให้ไฟนี่มันโรยราลง เย็นลง หรือสงบลง  ซึ่งอย่างแรกเลยก็คือการไม่เติมเชื้อเพลิง...ไฟมันก็ค่อยๆ ราลง ซาลง ...ความเย็นมันก็จะออกมาเองน่ะ

เมื่อใดไฟมันมอด หรือว่าไม่ลุกไหม้น่ะ แล้วมันหุ้มอยู่กับของเย็น...ซึ่งไฟนี่กับใจที่มันเป็นธรรมชาติรู้ธรรมชาติเห็น ธาตุรู้ธาตุเห็นนี่คือมันไม่มีอะไรที่จะไปข้องแวะเกาะเกี่ยวได้

ไฟมันก็ไม่สามารถทำให้ความเย็นของใจนี่ หรือธรรมชาติของใจนี่แปรปรวน หรือว่าเกิดความร้อนขึ้นมาได้เลย ไม่สามารถไปสร้างอุณหภูมิของธาตุรู้นี่ให้มันเหมือนกับไฟได้เลย

เพราะนั้นธาตุรู้...คือนี่เป็นธาตุจำเพาะเลย เป็นธาตุบริสุทธิ์ หรือเป็นธาตุที่เรียกว่า อสังขตธาตุ อสังขตธรรม คือไม่สามารถมีอะไรมาปรุงแต่งร่วมกับมันได้เลย

เมื่อไฟที่มันหุ้มใจไว้นี่มันเริ่มราออก ...ความเป็นธาตุที่ไม่มีประมาณ อานุภาพของใจไม่มีประมาณ พลานุภาพของใจไม่มีประมาณ  มันก็แสดงความเย็นออกมาในระดับหนึ่ง เย็นกายเย็นใจ

เพราะนั้นไอ้ตัวปัญญานี่เอง ที่มันเข้าไป...เหมือนน้ำเย็นที่มันเข้าไปราดรดไฟกิเลสที่มันห่อหุ้มใจไว้ ให้มันเบา ให้มันโรยรา ...ซึ่งต่างจากความสงบที่ทำขึ้นน่ะ ที่ว่าเหมือนน้ำแข็งที่มันอยู่บนไฟน่ะ

อันนั้นมันไม่สามารถจะเข้าถึงน้ำที่จะเข้ามาราดรดสยบความร้อนของกิเลสได้ ...เพราะอานิสงส์ของศีลสมาธิปัญญามันต่างกัน มันได้คนละระดับกัน มันคนละเหตุปัจจัยกัน

เพราะนั้นอานิสงส์ของสมาธิ...ซึ่งยังไม่ใช่สัมมาสมาธิ เรียกว่าเป็นสมาธิแบบโมหะหรือว่าเป็นมิจฉานี่ ...มันไม่ได้เป็นการที่จะเข้าไปทำให้ความเร่าร้อนของอวิชชาตัณหาอุปาทานนี่ ให้เสื่อมถอยจางคลายเลย

มันแค่บังไว้ๆๆ ...แล้วพอมันหมดกำลังเมื่อไหร่ ไฟก็ลุกแรงเท่าเก่า ...ซึ่งมันต่างจากปัญญา  ถ้าปัญญานี่ มันไม่แค่บัง มันเข้าไป...เหมือนเป็นน้ำที่เข้าไปสอดกองไฟนั่นเลย

เมื่อใดที่จิตมันฉลาดขึ้นด้วยปัญญา เมื่อนั้นน่ะ จิตดวงนั้นน่ะ หรือว่าจิตผู้รู้นั้นน่ะ มันก็จะไม่ไปก่อไฟหรือเพิ่มความร้อนให้ไฟด้วยการหาเชื้อเพลิงมาเติม ...นั่นน่ะคือมันมีปัญญาในตัวของมันเอง

ในเบื้องต้นในเบื้องแรก มันก็จะรู้ด้วยปัญญาในตัวของมันเองว่า...ถ้าออกนอกนี้ไปเป็นทุกข์ ออกจากกายใจนี้เป็นทุกข์ ลืมเนื้อลืมตัวเป็นทุกข์ ...นี่เรียกว่ามันจะรู้ตัวมันก่อน 

มันก็ฉลาดขึ้นด้วยตัวของมันเองว่า...เมื่อใดที่จิตหลงใหลเผลอเพลิน เมื่อใดที่ปล่อยให้จิตมันลอย คิดไปข้างหน้าข้างหลังนี่ มันจะเห็น มันจะรู้ด้วยตัวของมันเองเลยว่า เนี่ย เป็นทุกข์ จะเป็นทุกข์มากขึ้น

นั่นแหละ มันก็เห็นแล้วว่า การที่จิตมันออกนอกกายใจปัจจุบันไปนี่ มันก็คือการเอาเชื้อเพลิงนี่มาสุม ให้กิเลสมันเกิดความเร่าร้อนอยู่ภายในมากขึ้น มันก็เห็นว่า...เนี่ย เป็นเหตุ

จิตออกนอกกายใจปัจจุบันไปนี่ ออกนอกรู้ ออกนอกกายในปัจจุบันนี่ มันเป็นเหตุหรือมันเป็นสมุทัย ให้เกิดทุกข์ ...คือจิตเรานี่ มันจะไปหาเชื้อเพลิงมาเผาให้เกิดความเร่าร้อนอยู่ภายใน

เมื่อมันเห็นว่าอาการเหล่านี้ มันเป็นสมุทัย หรือว่ามันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ในเบื้องต้น มันก็ละในตัวของมันเอง มันก็ละสมุทัยตรงนั้นน่ะ...ด้วยการที่ไม่ไป ไม่ไปคิด

ไม่ปล่อยให้มันคิดออกไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนหลงลืมกายใจปัจจุบัน ...มันก็ละสมุทัยตรงนี้ สละออกซึ่งความคิด ซึ่งความอยากคิด สละออก ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวนั้นเรื่องราวคนนี้

สละออกซึ่งความอยากรู้ไปในอดีต อยากรู้ไปในอนาคต มันก็สละออก ...สมุทัยระดับต้นๆ ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์มันก็ค่อยๆ บรรเทาความเร่าร้อนภายใน คือจิตเราที่เป็นทุกข์กับทุกเรื่องน่ะ

เมื่อมันบรรเทาจากทุกข์ภายนอก ที่เกิดจากจิตที่มันไหลหลงเผลอเพลินออกไป ความบรรเทาทุกข์ในระดับนึงก็เกิดขึ้น ความเร่าร้อนภายในก็น้อยลงไป

แล้วมันก็จะรู้เห็นภายในด้วยตัวของมันเองว่า...ยังไม่พอ เพราะว่าไฟมันยังไม่ดับจนถึงสนิท ...มันก็จะมาสืบค้นความเป็นจริงว่า...ทำไมไฟมันยังลุก ขนาดว่าจิตไม่ส่งออกแล้ว

ก็รู้ว่านั่งอยู่นี่ ก็รู้กายอยู่ แล้วก็รู้ว่ายืนเดินนั่งนอนอยู่กับกายนี่  แต่..เอ๊ ทำไมมันยังมีทุกข์ ยังเป็นเราทุกข์อยู่ในการเดิน การยืน การนั่งในปัจจุบัน 

คือเราอดีต เราอนาคต มันไม่มีแล้ว มันไม่ไป เพราะจิตมันหยุด มันรู้อยู่จำเพาะปัจจุบันกาย ...แต่ในปัจจุบันกายก็ยังมีเรายืนเดินนั่งนอนอยู่ ก็ยังรู้สึกว่าเป็นทุกข์กับกายนี้อยู่อีก...ในกายปัจจุบัน

นี่ มันไม่ได้ไปทุกข์ในกายข้างหน้าข้างหลังแล้ว ไม่ได้ไปทุกข์กับกายคนอื่นสักเท่าไหร่แล้ว บรรเทาตรงนั้นไปแล้วมันก็เข้าไปเห็นเหตุเป็นเราในปัจจุบันนั้นอีก

ว่านี่ๆ เพราะว่าเป็นเรากับปัจจุบันกายนี้เอง ยังมีทุกข์อยู่ ยังเป็นไฟอยู่ ยังเร่าร้อนอยู่ ...มันก็จะไปละสมุทัยภายในปัจจุบัน ด้วยการเข้าใจว่า...มันเป็น "เรา" ได้อย่างไร

ไอ้ตัว "เรา" นี่แหละคือเหตุ มันยังไปหมายกายนี้เป็นเราในปัจจุบันอยู่ได้อย่างไร ...มันก็จะเห็นว่าไอ้ตัวไปหมายกายในปัจจุบันเป็นเราน่ะ เป็นเหตุให้มันเกิดความเร่าร้อน

นี่ มันก็เริ่มเห็นสมุทัย ว่าเกิดจากจุดนี้ นี่ จิตมันก็ค่อยๆ ฉลาดขึ้นอย่างนี้ ...แต่ตอนนี้ยังโง่ เราก็พาจูงไปก่อน

เมื่อมันเห็นว่า อ๋อ ไอ้เราที่นั่ง ไอ้เราที่ยืน ในปัจจุบันนี่ มันเป็นเหตุให้เกิดความเร่าร้อนในกาย เพราะมันไปหมายว่ากายนี้ยังเป็นของเราอยู่ มันก็จะเข้าไปแก้ที่เหตุนี้อีก ด้วยปัญญาอีก

มันก็เกิดการเข้าไปสร้างปัญญา สร้างความฉลาดของจิตขึ้น ด้วยการที่ให้มันเห็น...ว่ามันเป็นเราตรงไหน ในอาการของกายที่มันปรากฏอยู่จริงๆ นี้ 

มันก็ตามรู้ ตามดู ตามเห็น อากัปกริยาของกาย พฤติกรรมของกาย ลักษณะอาการของกายเมื่อถูกกระทบนั้นกระทบนี้ 

หรือไม่มีอะไรกระทบมันชัดเจน มันก็มีลักษณะเป็นก้อนเป็นกอง เป็นทึบ เป็นหนา เป็นหนัก เป็นเบา เป็นอุ่น เป็นร้อน

เอ๊ มันก็ดู สังเกต แยบคายดูในความปรากฏของลักษณะกายที่เป็นความรู้สึกบ้าง เป็นธาตุบ้าง  มันก็สังเกตดูแล้วสังเกตดูอีก...ด้วยจิตที่มันตั้งมั่น เป็นกลางอยู่นั้น

มันก็ไม่เห็นว่ามันเป็นเราตรงไหน ณ ที่ในอาการตรงนั้น เนี่ย ปัญญามันเข้าไปละเหตุ ละเหตุแห่งสมุทัย ที่ให้เกิดความเป็นเราในกาย

เห็นมั้ยว่าสมุทัยน่ะมันมีหลายตัว มันมีหลายขั้น มันมีหลายชั้น กว่าที่มันจะเข้ามาถึง 

พอมันเข้าไปละหรือสมมุติว่ามันเห็นจนรอบ จนตลอดทุกอากัปกริยา ทุกการปรากฏ ทุกลักษณะอาการของกาย ต่อเนื่องไม่ขาดสาย แล้วมันละสมุทัยตัวนี้ได้ 

คือไม่เห็นว่ามันเป็นเราตรงไหนเลย ยอมรับ ยอมรับโดยสิ้นเชิง ...ตรงนี้ มันจะเห็นเลย สมุทัยที่ละตรงนี้ ละสมุทัยตรงนี้ได้ ไฟนี่ ที่มันไหม้ท่วมโลกนี่ ...ที่เราพูดนี่ ไอ้ไฟร้อนๆ นี่ ไม่ใช่ไฟธรรมดานะ

ไฟกิเลสนี่ที่มันท่วมสองโลกน่ะ คือกามภพกับรูปภพ ...กามภพนี่หมายถึงโลกทั้งโลกนี่ แล้วก็สิ่งที่อยู่ในโลกที่มองเห็นรับรู้สัมผัสได้ นี่เรียกกามภพ กามคุณ ๕

รวมทั้งรูปภพ คือภพที่อยู่ในจิตปรุงแต่งนึกคิด เป็นรูปภาพ รูปคน วัตถุ รวมทั้งรูปตัวมันเองคือรูปกาย นี่ ไฟนี่มันไหม้สองภพนี่ ไอ้ที่ว่าความร้อนนี่ของอวิชชาตัณหานี่ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ

แต่พอมาถึงว่า ดูโดยตลอด เห็นโดยตลอด ว่ากายนี้หาความเป็นเราไม่ได้เลย แม้แต่อณูธาตุอณูหนึ่ง ผลคืออะไร ไฟที่ลุกท่วมสองโลกนี่ดับ...ดับแบบจุดไม่ติด

คือดับสนิท...สองโลก ดับสนิทแค่สองโลกนะ สองโลกนี่ก่อน ...เพราะโลกมันมีสามโลก คือยังมีอรูปโลก อรูปภพอีก นี่ มันดับสนิทแค่สองโลก

หมายความว่า เอาเชื้อเพลิงอะไรมาเติมมาโยนไปในที่ที่มันเคยลุกเคยไหม้เป็นไฟเร่าร้อนนี่ ไม่ไหม้แล้ว ไม่เป็นเชื้อแล้ว อะไรเป็นเชื้อ รูป..รูปผู้หญิงผู้ชาย รูปวัตถุข้าวของ เสียงที่ได้ยิน

การปรากฏของกายเย็นร้อนอ่อนแข็ง ปวดเมื่อยฉีกขาดเน่าเปื่อยแตกพังตาย นี่พวกนี้จุดไม่ติดแล้ว มันเกิดอย่างนี้มันก็ไม่สามารถเป็นเชื้อเพลิง มันก็กลายเป็นเชื้อเพลิงดิบๆ

มันไม่ติด มันไม่ติดไฟ...ที่เป็นเชื้อของอวิชชาที่มันเป็นไฟน่ะ ที่มันคอยจะไหม้เชื้อเหล่านี้ มันก็ไม่ไหม้แล้ว เมื่อไม่ไหม้ ก็ไม่มีแผ่รังสีความร้อนออกมาเป็นสุขเป็นทุกข์ของเรา

ถ้ามันละสมุทัยหรือว่าเหตุของทุกข์นี่ ในกายในขันธ์นี่ ได้ในระดับที่ละกายได้ หมายความว่าไฟที่มันลุกท่วมสองโลกนี่ มอด ...แต่ยังเหลืออีกโลกหนึ่ง อันนี่เป็นไฟเย็น 

มันไม่ได้ไหม้อย่างที่เราทุกข์กันอย่างนี้หรอก มันเป็นไฟเย็น มันมีความไม่เร่าร้อน ไม่ร้อนหรอก มันอบอุ่นดี เออ ไอ้ความอบอุ่นดีนี่ เหมือนกับเราอยู่หน้าหนาวแล้วไปผิงไฟอย่างนี้ สบายดีมั้ย 

อือ แล้วกูจะละทำไมวะ มันอบอุ่นดี ...นี่ ละยากนะ ว่ามันอบอุ่นนะ ก็ยังเป็นไฟอยู่นะ แต่มันอบอุ่นดีนี่ ...แต่ไม่ต้องกลัว ถึงขั้นนั้นแล้วมันวางใจได้แล้ว ไม่มีปัญหาหรอก

แต่ไอ้ตอนนี้ต่างหากปัญหาเยอะ คือไอ้ไฟที่ลุกสองโลก...คือทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทบมานี่ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิตคิดนึกปรุงแต่ง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้ทั้งสิ้นเลย

แบบหัวไม่วางหางไม่เว้นน่ะ ทุกลมหายใจเข้าออกเลย คือตั้งแต่เกิดยันตายน่ะ ...แล้วมันก็เผาไหม้ลนเหมือนเป็นการปิ้งย่างอยู่บนเตา อยู่ตลอดทั้งวัน จนตลอดชีวิตเลย

นั่งก็เดือดร้อน ยืนก็เดือดร้อน ไปที่นั้นนึกว่าจะสบายก็ยังมีทุกข์ตามมาในความคิดในความจำ ...ยังมีทุกข์ในอดีต ทุกข์ในอนาคตตามมาในทุกที่

ขนาดว่าไปอบรมจิตอยู่ในป่าแล้วนะ มันก็ยังไปไหม้อยู่ในป่านั่นน่ะ ...ตาก็ไม่ได้เห็น หูก็ไม่ได้ยิน ไอ้คนที่กูรัก ไอ้คนที่กูเกลียดก็ไม่ได้มาโผล่อยู่ตรงนั้น ก็ยังมีไปโผล่อยู่ในสัญญา

หน้าที่การงานก็ไม่ได้ทำ ก็ยังคิดอยู่ว่ากูจะต้องไปทำอะไรวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้อีก ...เนี่ย ไม่มีวาง ไม่มีว่าง ไม่มีเว้นเลย ความเร่าร้อนภายใน

เพราะอะไร เพราะมันยังมีไฟกิเลสที่มันลุกไหม้ ...แล้วด้วยความไม่รู้ของจิตเรานี่แหละ มันก็คอยเติมเชื้อเพลิงให้แบบไม่อิ่ม ไฟนี่ไม่อิ่มจากเชื้อเมื่อไหร่...ไม่มี

ใส่เข้าไปเหอะ ใส่เท่าไหร่ก็ไหม้เท่านั้นน่ะ ...แล้วถ้าไฟแบบไฟบรรลัยกัลป์ นี่หมายความว่า แม้แต่เหล็กมันยังไหม้เลย ละลายเลย ...นี่น่ะไฟกิเลส

แต่เราไม่รู้หรอก ความไม่รู้ของจิต ความไม่รู้ของเรานี่ ไม่รู้หรอกว่านี่เป็นไฟ นั่งอยู่กับไฟในใจ แล้วก็ทุกการทำพูดคิด ทุกการประกอบกริยาอาการ ล้วนแล้วแต่เป็นการเติมเชื้อไฟให้กิเลสตลอดเวลา

มันไม่รู้ถึงขนาดนี้นะจิต บางครั้งมันยังคิดว่าไอ้การเติมเชื้อเพลิงนี่เป็นความสุขอีก เป็นความสุขทางการเห็น เป็นความสุขทางการได้ยิน เป็นความสุขทางสัมผัส

มันไม่รู้แม้กระทั่งว่า...ไอ้เหล่านี้ที่ว่าความสุขที่มันไปเสพ ไปสร้างให้มันเกิดความเสวยขึ้นในตัวเราของเรานี่...ก็คือไฟ

เพราะนั้นกว่าที่มันจะเห็นสมุทัย แล้วก็เห็นเหตุสมุทัยที่แท้จริงคืออะไร แล้วก็เข้าไปละสมุทัยได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดน่ะ ...พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าต้องเจริญมรรค

เพราะนั้นการเจริญมรรคก็อย่างที่เราพูดนี่แหละ รู้ตัว กลับมารู้อยู่กับตัว บ่อยๆ ...เพราะนั้นมันจะบรรเทาทุกข์ได้ในระดับแรกเลย ก็คือจิตจะไม่ส่งออกนอกกายใจปัจจุบัน

นี่จะได้รับผลแห่งการเจริญมรรคในระดับต้น ระดับแรก ก็คือนิวรณ์ ๕ จะไม่เกิดมาก ...รู้จักนิวรณ์ ๕ ไหม ราคะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกุกจะ วิจิกิจฉา

นั่น มันจะบรรเทา คือจิตมันไม่ส่งออก นี่ มันบรรเทาด้วยอำนาจของศีล สมาธิ ...นี่สมาธิในชีวิตเลยนะนั่นน่ะ ไม่ใช่สมาธิตอนนั่งหลับตาหรือนั่งอยู่ในวัด หรือนั่งพุทโธอยู่

แต่มันเป็นสมาธิที่จิตมันอยู่กับเนื้อกับตัว จิตมันไม่ออกนอกเนื้อนอกตัว มันตั้งมั่นรวมตัวอยู่ภายใน มันรวบรวมจิตหลากหลาย มันรวบรวมจิตอเนกอนันต์ หลายดวง

ให้มันเหลือแค่ดวงเดียว คือดวงรู้ดวงเห็น กับสิ่งเดียวคือกายเดียว ...จากที่มันมีกายอเนกอนันต์นับไม่ถ้วนนี่ ก็ให้มีแค่กายเดียวคือกายปัจจุบัน กายก็เป็นหนึ่ง จิตก็เป็นหนึ่ง

นั่นแหละ สัมมาสมาธิ ที่บังเกิดขึ้นในชีวิต ไม่ใช่ในท่านั่งสมาธิ ไม่ใช่ในป่า ...นี่เรียกว่าบรรเทาแล้ว บรรเทาทุกข์ที่เกิดจากจิตส่งออกนอก

พอมันบรรเทา พอมันหยุด พอมันอยู่กับกาย ...ตรงนี้มันจะเข้าไปถึงสมุทัยตัวที่มันลึกซึ้งกว่านั้น คือความหมายมั่นว่ากายนี้เป็นเรา กายนี้เป็นชาย กายนี้เป็นหญิง กายนี้สวย กายนี้ไม่งาม 

หรืือว่ากายนี้มีสถานะชื่อนั้นชื่อนี้ อายุเท่านั้นเท่านี้ อยู่ในสังคมระดับนั้นอยู่ในความรู้ระดับนี้ ...มันก็มาสืบค้นความเป็นจริงของกายในขณะที่มันไม่มีอะไรออกไปคิดปรุงแต่งเป็นกายหลากหลายนับไม่ถ้วน

เราถึงบอกว่าการเจริญกายคตาสติ หรือการเจริญสติกับกายปัจจุบันนี่ มันเกิดปัญญาพร้อมกันได้อย่างไร โดยไม่ต้องไปรอให้สงบก่อนเลย ...แม้แต่ตอนนั่งฟังนี่ ไม่ต้องมาฟังเราหรอก ดูกายเลย อยู่รู้กับตัวนั่นเลย

แล้วก็รู้สึกลงไปเลย ...มันก็จะเห็น..เห็นตัวของมันเอง ตัวกายตรงนี้มันก็ยังแสดงความเป็นจริงให้เห็นอยู่ตรงนี้เลย ไม่ใช่ต้องรอกลับไปก่อนจึงเห็น ...ตรงนี้ก็เห็น 

มันแสดงให้เห็น ก็เห็นกันเข้าไปสิ ก็รู้กันเข้าไปสิ ...นี่ ภาวนาไม่ต้องมาเลือกเวลาเลย ไม่ต้องฟังให้เข้าใจก่อนด้วย ฟังไปทำตามไปเลย...ตรงนี้เลย เดี๋ยวก็สำเร็จตรงนี้แหละ

ไอ้ที่มันไม่สำเร็จ เพราะมันฟังแล้วไปรอ ...ไปรอให้กลับบ้าน รอให้แก่ก่อน รอให้เกษียณก่อน แน่ะ รอให้ผัวตายเมียตายลูกเกิดก่อน ลูกไปเกิดไปทำงาน อะไรอย่างนี้


(ต่อแทร็ก 12/31)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น