วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 12/5


พระอาจารย์
12/5 (560706E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 กรกฎาคม 2556


พระอาจารย์ –  ความขวนขวาย ความพากเพียรน้อยลง ...คนสมัยนี้ ความเพียรน้อย ความอดทนน้อย  ตัวนี้เป็นคีย์เวิร์ดเลย...ที่มันไปไม่รอด ไปไม่ได้ตลอดสาย ... พวกสมาธิสั้นน่ะ รู้จักเด็กสมาธิสั้นมั้ย

มันรักษาความต่อเนื่องไม่ได้ แล้วไม่จริงจัง ขาดไปก็ขาดไป งั้นๆ น่ะ ไม่ได้รู้สึก guilty เลยในการขาดศีล ขาดสติ ขาดมรรค ขาดความต่อเนื่อง เหมือนกับแบบว่า "อยู่คนเดียวตำรวจไม่จับนี่ ไม่รู้ก็ไม่มีใครเห็น ไม่ว่า" ...นี่ ไม่เตือนตัวเอง ไม่กลัว

มันไม่เกิดสภาวธรรมภายในอย่างนึง...ที่เป็นธรรมที่คุ้มครองศีลสมาธิปัญญารักษาไว้ อย่างนึงนั้นก็คือ "หิริโอตตัปปะ" มันไม่มีความละอายในการที่อยู่ได้...อยู่โดยไม่มีศีลสติสมาธิปัญญา

แต่เหล่าผู้ที่จะเข้าถึงที่สุดนี่ ...แม้กระทั่งท่านอยู่ป่านี่ ไม่มีใครมาจับผิด ไม่มีใครมาเห็นในการยืนเดินนั่งนอนของท่าน ไม่ได้มีใครเห็นหรอกว่าท่านนั่งภาวนากี่ชั่วโมงกี่นาทีนี่

แต่เมื่อใดเวลาใดที่จิตท่านหลุด ท่านเล็ด ท่านลอด ท่านหาย ท่านไปจมไปแช่อยู่ในความคิดคำนึงอาลัยอาวรณ์ในสัตว์บุคคลก็ตาม ...ท่านรู้สึกผิด  ท่านรู้สึกละอายต่อตัวเอง ละอายที่ปล่อย...ยังปล่อยให้จิตมันมีอำนาจออกมาเหนือกายใจได้ขนาดนั้นเชียวหรือ ...นี่เขาเรียกว่าหิริโอตัปปะ

เพราะนั้นหิริโอตัปปะนี่ มันจะเกิดมากขึ้น คือเกิดความรู้สึกอย่างนี้มากขึ้น หรือเกิดความรู้สึกนี้น้อยลง ก็เพราะอะไร ...เพราะผู้นั้นรักษาศีลอย่างยิ่งยวดมั้ย  

ถ้าเป็นผู้ที่รักษาศีลได้อย่างยิ่งยวด หรือเพียรที่จะรักษาศีลอย่างยิ่งยวด มันจะมีตัวนี้ตามหลังกำกับอยู่ตลอด...เป็นหิริโอตัปปะ

ไม่ใช่ว่าเพราะว่าพอไม่ทำแล้วมีเทวดาคอยมามองนะ หรือไม่ใช่ไม่ทำแล้วเดี๋ยวคนอื่นเขาจะตำหนิ เขาติเตียนได้  ไม่ใช่ละอายเพราะอย่างนั้น ...มันละอายในตัวของมันเอง 

คือจะไม่ยอมอยู่ร่วมโลกกับกิเลสแล้ว...ยังปล่อยให้กิเลสมากินพื้นที่ขันธ์กินพื้นที่ใจได้อย่างไร ยังปล่อยให้ความไม่รู้ ความหลงมาครอบคลุมกลืนกินกายใจปัจจุบันไปได้อย่างไร นี่

ก็ตั้งสัจจะ ตั้งวิถีแห่งการบวชการปฏิบัติ...เพื่อชำระ เพื่อไม่อยู่ร่วมกันกับกิเลสแล้วนี่  ทำไมถึงไปตกอยู่ใต้อำนาจของมันอีกเล่า ...นี่ท่านอยู่ด้วยตัวนี้ เป็นยาคอยกระตุ้น 

เหมือนวัคซีน เหมือนยาปฏิชีวนะที่มันเข้าไปสกัดดาวรุ่ง ...ดาวรุ่งพุ่งแรงนะกิเลสนี่  แล้วถ้าได้ปล่อยให้มันได้รุ่งได้พุ่งออกมาแล้ว คราวนี้เหมือนกับดาวพุ่ง 

ซึ่งจะเป็นดาวพุ่งไปตก...ตกใส่บ้านก็ไหม้ ตกใส่หัวคนก็เจ็บ ตกใส่หัวตัวเองก็ร้อน บอกให้เลย ดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างนี้ มักจะเป็นอย่างนั้น...กิเลส ...สุดท้ายที่กลับคืนมาคือความเร่าร้อนแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์  

มีแต่ศีลสมาธิปัญญาถ่ายเดียวเท่านั้นที่เป็นไปด้วยความร่มเย็นเป็นกลาง  ...แต่มันยังไม่เกิดผลที่มันมั่นคงชัดเจนที่ว่าปฏิบัติทุกครั้ง รู้ตัวทุกครั้งแล้วมันเกิดความร่มเย็นทุกครั้ง ...ไอ้ตรงนี้มันเลยไม่ค่อยแน่ใจ

เขาเรียกว่าความเข้าถึงมรรคหรือตัวมรรค...มันยังไม่ชัดเจน กำลังมันยังไม่เกิดแบบทันทีทันควัน มันก็ค่อยๆ สะสมๆ ...กว่าจะได้รับผลของศีลสติสมาธิก็ต้องใช้เวลา

แต่พอมันได้ค่อนข้างจะเต็ม ค่อนข้างจะบริบูรณ์แล้วนี่  ระลึกรู้ตรงไหน หยั่งตรงไหนปึ้บนี่ อานิสงส์ของศีลสมาธิปัญญาเกิดตรงนั้นทันที...เป็นปัจจุบันทันด่วน เป็นปัจจุบันธรรม เป็นปัจจุบันละ เป็นปัจจุบันล้าง เป็นปัจจุบันขัดเกลา เป็นปหาตัพพธรรมทุกขณะไป

แต่ตอนนี้เป็นปหานไม่ได้กัน เพราะมันถือแต่มีดบาง ...ไม่ยอมลับมีด มันก็ทื่อ  มันก็ไม่สามารถปหานเป็นขณะๆ ไป ...ผลมันก็ยังไม่เกิดชัดเจนขึ้น 

แต่พอเป็นปหานๆๆ ทุกขณะที่จิตมันแลบ มันคิด มันเคลื่อน มันคล้อย มันสร้างอดีต ...คือแค่มันสร้างแค่เงาของอดีต แค่เงาของอนาคตขึ้นมา แค่เป็นเงาตะคุ่มๆ ก็ละแล้ว ทันแล้ว...ปึ้บ ขาด อย่างนี้

ปหานๆ ปหาตัพธรรมอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวความเป็นสมุจเฉทจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ โล่งเบาๆ หาย ...ภายในนี่ ความขัดข้องหมองมัวในอดีตอนาคต ในสัตว์บุคคล ในเรื่องราวที่มันแก้ไม่ได้ แก้ไม่ตก มันก็หายเป็นสมุจเฉทไป

ให้เชื่อมั่นในศีลสมาธิปัญญา ยิ่งกว่าการไปเชื่อมั่นในบุคคล หรือการกระทำของคนใดคนหนึ่ง หรือความเห็นของคนใดคนหนึ่ง ...แม้กระทั่งตัวเราเอง  

ให้เชื่อมั่นแต่เฉพาะศีลสมาธิปัญญา เป็นที่พึ่ง เป็นที่อยู่ เป็นที่อาศัยของเหล่าอริยะทั้งหลาย ...แล้วผู้ที่อาศัยศีลสมาธิปัญญาเป็นที่พึ่ง มีแต่ความหลุดพ้นไป เป็นที่สุด...ไม่คลาดเคลื่อนแน่นอน 

อันนี้เรียกว่ายืนยันฟันธงลงมาตั้งแต่พระพุทธเจ้า...ยันปัจจุบัน ว่าศีลสมาธิปัญญานี่ มั่นคงจริงๆ แท้จริง จริงๆ เที่ยงจริงๆ ทุกอย่างอะไรไม่เที่ยง แต่ศีลสมาธิปัญญาเที่ยงต่อผลที่จะปรากฏ

อย่าไปเชื่อจิตที่มันว่า “ไม่ใช่ ไม่ได้หรอก มันยังไม่ถึงเวลา” เนี่ย อย่าไปให้ค่า ให้ความสำคัญกับไอ้ความคิดที่มันมาคอยกัดกร่อน ไอ้ตัวเราที่มันคอยกัดกร่อน...สร้างอดีต-อนาคตมาล่อมาหลอก มาลุ่มหลงมัวเมา มาปิดบัง จนกระทั่งมาคลุ้มคลั่งไปกับมัน

เคยคลุ้มคลั่งอยู่กับความคิดมั้ยเล่า ...ดูดีมั้ย น่าเลื่อมใสมั้ย น่าบูชามั้ย ...ก็ไม่น่าบูชา  แต่เราอยู่กับมันโดยที่ว่า บูชากิเลส...แบบไม่รู้สึกผิดเลย ไม่มีความหิริโอตัปปะเลย

อาศัยความโกรธเป็นอารมณ์ เป็นอาวุธ  ถ้าไม่อยู่ด้วยความโกรธ ถ้าไม่สร้างความโกรธเป็นกำแพงใหญ่ๆ ไว้นะ ...เหมือนไม่มีกำลังที่จะไปชี้หน้าด่าว่า แล้วก็ให้คนอื่นเขาโอนอ่อนผ่อนตาม ยอมตาม 

นั่นมันถือกิเลสเป็นกำลังอาวุธน่ะ ...นี่ มันไม่เรียกว่าบูชากิเลสแล้วจะเรียกว่าลบล้างกิเลสหรือยังไง หือ

แต่ว่าในทางกลับกัน ศีลสมาธิปัญญานี่มันจะเป็นตัวลบล้างกิเลส เป็นตัวละ...ละโดยไม่อาลัยอาวรณ์ โกรธ...ละโกรธ ...ไม่ห้ามโกรธนะ แต่ละเลย 

คือไม่ห้ามที่มันจะโกรธทุกครั้งที่เห็นที่ได้ยิน อันนี้ห้ามไม่ได้ เพราะสันดานยังมีอยู่ มีเชื้ออยู่...ไม่ห้าม  แต่ทุกครั้งที่มันโกรธ ให้ละ ให้ออก

คำว่าละนี่ไม่ได้หมายความว่าต้องไปดับ ... "ละ" คือไม่เข้าไปมีไปเป็นกับมัน ไม่เข้าไปเป็นเราเป็นเขากับมัน ...นี่ ออกมาก่อน 

มันจะดับ-ไม่ดับ มันจะมากขึ้นหรือมันจะน้อยลง อย่าไปข้องแวะ อย่าไปส่ายหาเหตุหาผล เอาถูกเอาผิดกับอารมณ์อย่างนี้  ถอยออก ถอนออก ละออก ...เข้าใจรึเปล่าว่าละมือรามือจากมันออกมา

แล้วก็เอากายเป็นหลัก เอาศีลเป็นหลัก เอาปัจจุบันกายเป็นหลัก เอารู้เป็นหลัก...ที่ยืน ที่หยัด ที่ตั้ง ที่มั่น 

นี่ เรียกว่าบูชาเคารพศีลสมาธิปัญญา  แทนการเข้าไปอยู่กับกิเลส แทนการเข้าไปทำตามกิเลส แทนการเข้าไปเอากิเลสมาเป็นเครื่องห่อหุ้ม เครื่องชี้นำ ...นี่เขาเรียกว่าไม่บูชากิเลส

ถ้าปฏิบัติกันอยู่ในแวดวงนี้  ไอ้ตัวกิเลสนี่ มันจะอ่อนแรงลง ... ไม่สามารถจะเป็นแบบ...'โกรธทุกครั้ง...ด่าทุกครั้ง โกรธทุกครั้ง...ด่าทุกครั้ง' 

มันก็จะเป็น 'โกรธสิบครั้ง...ด่าแปดครั้ง' ...เออ ดีแล้ว ดีขึ้น ... แต่อย่าเพิ่งเหลิง กลายเป็นต่อไป 'โกรธสิบครั้ง...ด่ายี่สิบครั้ง' (หัวเราะกัน) ...เหลิงไง เหลิง

ต้องเข้าใจว่า ให้มันดาวน์เทรนด์น่ะ...กราฟมันจะต้องเป็นดาวน์เทรนด์ของกิเลส และอัพเทรนด์ของศีลสมาธิปัญญา มันจะต้องตรงข้ามกัน ...นี่คือผู้ปฏิบัติจริง ไม่ใช่ปฏิบัติเล่นนะ

ถ้าปฏิบัติเล่นก็ไม่สนใจหรอก ก็ว่า...'อาจารย์ทำไมมายุบยิบยุบยับอยู่ อะไรก็ไม่รู้' ...โอ้ย ถ้าไม่ยุบยิบยุบยับกับมันนะ กิเลสมันก็นั่งกินนอนกินแบบพระนารายณ์ไสยาสน์บนแท่นบรรทมสินธ์น่ะ 

เหมือนตอนนี้หลับอยู่ นารายณ์บรรทมสินธ์อยู่ข้างใน นอนอยู่แบบสบายใจเลยกับกิเลส  ...เดี๋ยวก็อวตารออกมาเป็นยักษ์มั่ง เดี๋ยวก็อวตารออกมา...เป็นหนุมาณมั่ง ออกลิงออกค่าง ...เป็นนกก็มี เต้นแร้งเต้นกา นี่เป็นสัตว์

มันประมาทนะ เออ มนุษย์ มันตามอารมณ์ แบบว่า...เดี๋ยวกูก็จะออกมาปราบมารสักที อวตารมา ...จะเอาร่างไหนล่ะ แม่กาลีมั้ย ...นั่นเขาเรียกว่าอวตาร เป็นนารายณ์อวตารมาปราบมาร 

หารู้ไม่ว่า "กู" น่ะโคตรมารเลย ต้นตอของมารยิ่งกว่าเสนามาร หัวหน้ามารเลย ...แต่เวลามันทำงานนี่ มันก็จะใช้ลูกน้องออกมา เล็ก น้อย ใหญ่ ย่อย แล้วแต่เหตุปัจจัย 

ตัวนายใหญ่ก็นอน...อวิชชานี่เป็นพระนารายณ์บรรทมสินธ์อยู่ข้างใน ครอบครองจักรวาล ครอบครองขันธ์ ครอบครองสามโลกธาตุ ...แล้วก็ใช้เสนาอำมาตย์มา อารมณ์เล็ก อารมณ์น้อย อารมณ์ใหญ่ แสดงอาการออกไป 

กว่าที่จะไปทำลายบัลลังก์ของมัน จนมันหาบัลลังก์อยู่ไม่ได้ นี่  ทีนี้เต้นแล้ว นารายณ์ออกท่าออกทางแล้ว ...ทีนี้พอมันเริ่มออกท่าออกทาง ไม่มีที่ให้นอนแล้ว เนี่ย ก็จะเริ่มเห็นหน้าค่าตาของมัน

แต่ตอนนี้ถามดูว่าความไม่รู้อยู่ไหน อวิชชาอยู่ไหน  ต้นตอรากเหง้าของกิเลส การเกิดขึ้นของอารมณ์มันมาจากตรงไหน  หน้าตาของไอ้ต้นตอนั้นมันคืออะไร ...เห็นมั้ยเล่า 

บอกแล้ว นารายณ์บรรทมสินธ์ ...มันมองไม่เห็นหรอก สงบนิ่งแนบแน่นอยู่เป็นเนื้อเดียวกันกับใจนะ ...ถึงบอกว่า ถ้าไม่ยิบย่อยอย่างนี้ มันเข้าไม่ถึงตัวหัวหน้าของมัน พ่อแม่ของมันอยู่ข้างในนี้

ทีนี้พอมันร้อนตัวเพราะว่าเสนามาร เหล่าบริวารมือตีนมันง่อยเปลี้ยหรือว่าขาดไป ทีนี้มันต้องออกโรงเองแล้ว เนี่ย กูเฝ้ารู้ดูเห็นมาหลายภพหลายชาติเพื่อจะหาหน้าตาของอวิชชา เพิ่งเห็นหน้ามันตอนนี้นี่เอง 

ใกล้ตายแล้ว นี่ใกล้ตายแล้ว ...ถ้าเห็นหน้ากันนี่คือว่าใกล้ตายแล้วนะ...ขยญาณ อยู่กับมันมาเป็นอเนกชาตินี่ เพื่อค้นหาอวิชชา เพื่อจะเห็นหน้าค่าตาของมัน...เขาเรียกว่า มหาเหตุ มหาสมุทัย

เพราะไอ้การชำระเป็นปหาตัพพธรรมเล็กๆ น้อยๆ สมุจเฉทเล็กๆ น้อยๆ นี่ถือว่าเป็นปลายเหตุ ยังเป็นสมุทัยแบบปลายเหตุอยู่นะ ยังไม่ใช่ตัวสมุทัยขั้นมหาเหตุเลย

เพราะนั้นอย่างที่มันเดี๋ยวก็ขึ้น เดี๋ยวก็งอกๆ เหมือนเห็ดน่ะ อยู่อย่างนั้น ...แต่เราไม่ทำให้ดินดีน้ำชุ่มปุ๊บนี่ มันก็ไม่งอก แค่นั้นเอง ...นี่อยู่ด้วยอำนาจของสมมุติศีลสติสมาธิปัญญา 

ศีลสติสมาธิปัญญาก็ยังเป็นสมมุตินะ ... แต่มันมาค้านมากันไอ้ตัวสมมุติของกิเลส สมมุติอารมณ์ ...แต่ว่าตัวโคตรเหง้ามันนี่ มันอยู่เหนือนั้นไปอีก 

เพราะนั้นถ้าไม่บากบั่น ตั้งมั่น ใส่ใจ ทุกขณะ ทุกลมหายใจเข้าออก โดยไม่ขาดตกบกพร่องเว้นวรรคขาดตอนเลยนี่ ก็จะลบล้างกิเลสจากใจไม่ได้ โดยหมดจดและสิ้นเชิง

นี่คือพูดให้แรงไว้ พูดให้หนักไว้ ...ก็เพื่อให้เห็นว่านี่ จะต้องเข้าถึงจุดนี้เท่านั้น  การพากเพียรนั้นต้องเรียกว่าสุดจริงๆ... ศีลสมาธิปัญญาจึงจะถึงที่เรียกว่าบริบูรณ์หรือว่าสุดจริงๆ 

เรียกว่าสตินี่ไม่มีขาดเลยล่ะ ...ใจรู้นี่หมายความว่า เหมือนกับพระอาทิตย์นี่ ไม่มีคำว่าเมฆหมอกมาบังน่ะ ...แล้วถามว่า จะหาว่าใจอยู่ไหนล่ะ นี่ไม่ต้องถามแล้วนะ

แต่ตอนนี้ถามก่อน ...เพราะมันยังไม่รู้ว่าอยู่ไหนเลยน่ะ รู้นี่  แบบสว่างรู้มันอยู่ไหนน่ะ นานๆ มันจะแวบขึ้นมาสักห้าวิ สิบวิ ดีใจมากเลย  หามาตั้งนานว่ารู้คืออะไร แล้วก็เมฆก็มาค่อยๆ กลืน ปึ้บ เหลือแต่กาย รู้หาย อย่างนี้

จนกว่า นี่ มหาสมาธิขึ้นมาเมื่อไหร่นี่ เหมือนสว่างพระอาทิตย์เที่ยงวันนี่แล้วไม่มีเมฆ  ยืนเดินนั่งนอนๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ เหมือน...สปอตไลท์ที่หาสวิทช์ปิดไม่มีน่ะ มันเปิดอยู่ข้างในอย่างนั้น ...สว่าง

เพราะนั้นความสว่างที่มันสาดส่องไปที่ไหนนี่ บอกให้เลยว่าความคลุมๆ เคลือๆ ความเบลอๆ มืดๆ ทึบๆ ในสิ่งนั้นๆ น่ะ มันสลายหมด ...มันสว่างหมด ส่องตรงไหนสว่างตรงนั้น ลงที่เนื้อแท้ธรรมแท้ของธรรมนั้นๆ ทุกประการไปเลย

พอลงที่เนื้อแท้ธรรมแท้ของธรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกประการที่ปรากฏ  มันไม่มีอะไรๆ ไม่มี something else ไม่มี something wrong ในนั้นเลย 

แต่พวกเราตอนนี้ ไอ้แสงสว่างของใจมันหลุบ หรี่ ผลุบๆ โผล่ๆ ...นี่ มันก็มืด กายก็ยังมืด "เอ๊ มันเป็นเรา ก็ยังเป็นเราอยู่นี่ ก็ยังเป็นผู้หญิง" นี่ ยังมืดๆ ...สว่างไม่ถึง

แต่ถ้ามันสว่างแจ้งปึ้บนี่ มันไปเปิด ... นี่ ท่านถึงว่า นัตถิ ปัญญา สมาอาภา แสงสว่างเสมอปัญญาไม่มี ถ้าลองได้แสงสว่างของปัญญาลงไปสาดส่องที่ไหนแล้ว...เปิดโลกธาตุหมด เปิดธรรมธาตุหมด คือลงถึงเนื้อธาตุเนื้อธรรมแท้เลย

เขาเรียกว่าเปิดโลกธาตุ เป็นธรรมเปิดโลกธาตุ ปัญญานี่ อาโลโก จักขุ อุทปาทิ ญาณัง ความสว่างของปัญญา เหมือนกับเปิดโลกธาตุออก...ที่มันหุ้มไว้ด้วยสัญญา หุ้มไว้ด้วยสมมุติบัญญัติ หุ้มไว้ด้วยความเห็นทิฏฐิ หุ้มไว้ด้วยความเคยชิน ...สลายหมด

เพราะนั้นถึงบอกว่า กว่าที่ปัญญาจะถึงระดับขั้นนี้...ที่เหมือนพระอาทิตย์ที่แผดจ้ากลางแจ้งนี่ ... มันจะต้องย่ำฐานสติศีลสมาธินี่อย่างยิ่ง...ต่อเนื่องไม่ขาดสายเลย

ไม่ใช่มานั่งหลับตาทั้งวันนะ สมาธิไม่ใช่ตัวนั้นนะ ...สมาธิคือความรู้อยู่เห็นอยู่ภายในนั่นแหละ  ตัวนั้นน่ะจะต้องย่ำ ย่ำอยู่ที่สติในกาย สติในอิริยาบถ ใหญ่-ย่อยๆๆ ...ต้องต่อเนื่อง ในใหญ่มีย่อย ในย่อยมีหลายๆ ย่อย ต่อเนื่องกันสลับกัน อยู่อย่างนี้...เรียกว่าย่ำฐาน

แล้วพอใจมันสว่างข้างในขึ้นมาแล้ว คราวนี้เดินด้วยปัญญา...ระหว่างนั้นน่ะจะเดินด้วยปัญญาหมดเลย 

ไม่มีอะไรที่ปรากฏขึ้นแล้วมากระทบขันธ์นี่ หรือไม่มีอะไรที่ออกไปจากขันธ์นี้ แล้วออกไปข้างนอกนี่ จะไม่เรียกว่าปัญญา...ไม่มี มันแสดงความเป็นจริงทุกส่วนเลยในการปรากฏขึ้น ทั้งภายในและภายนอก

นี่เขาเรียกว่า ถ้ามันรู้สึกอย่างนี้นะ แล้วมันเห็นว่าอะไรมันเป็นอย่างนี้นี่นะ  ตรงนี้นี่เองที่ท่านเรียกว่ามหาปัญญา ...ทีนี้เป็นปัญญาขั้นไม่กลัวกิเลสแล้ว 

ตอนนี้ปัญญาระดับเรายังกลัวกิเลส ยังนอบน้อมต่อกิเลส ยังเกรงใจกิเลส ยังเคารพกิเลส ยังกลัวกิเลสมันเอาคืน อะไรอย่างนี้อยู่

แต่พอปัญญาในระดับมหาปัญญานี่ ไม่กลัวกิเลส  หมายความว่าไง ..."มึงจะไปซุกหัวอยู่ที่ไหน มาเลยๆ"  มันเหมือนกับเข้าไปหา ส่องหาเลย มันไปหลบลี้อยู่ที่ไหน เจอกันหน่อย อยากเจอ ...ค้นไปหมด มันจำแนกเข้าไปไซ้ ลงไปไซ้หาหมด

ไม่กลัวกิเลสแล้ว โอ้ย มันอาจหาญมาก  ใจที่อาจหาญต่อกิเลส ยิ่งเห็นยิ่งละๆ น่ะ ยิ่งละยิ่งขาด ขาดๆๆ ขาดจน...ดีไม่ดีออกจากขันธ์ออกจากโลกเลยใจ  ...ปึงเดียวขาดสะบั้น

พูดให้หนักไว้ จะได้เห็นว่า...ไอ้ขี้เกียจประมาณนี้เหรอ อย่าฝัน ...ต้องเอาให้มันได้กว่านั้น

คือฟังมาหลายปีแล้ว เข้าใจรึเปล่า หลายสิบรอบแล้ว ...ซึ่งเราสอนมาแบบเรื่อยๆ เปื่อยๆ นะ บอกให้ แรกๆ นี่น่ะ ...เดี๋ยวต่อไปจะเจอภาคอวตาร (โยมหัวเราะกัน) คือจะลงมาปราบมาร แล้วทีนี้จะสะดุ้ง

คือถ้าไปเริ่มอย่างนี้ตอนนั้นน่ะ รับรองมันมุดหัวหมดแหละ เข้าใจป่าว มันจะไม่ได้ปูพื้นฐานแล้ว แบบ "กูไม่ไปแล้ว หนูไม่ไปแล้ว" ...ก็อ่อยไว้ก่อน เดี๋ยวเจอภาคใหม่ล่ะมึง หัวขาด 

(เสียงโยมพูดอะไรฟังไม่ถนัด พระอาจารย์หัวเราะ...บอก) เฮ้ย กลับตัวไม่ทันแล้ว บอกให้ ลงมาถึงขั้นนี้ บอกแล้ว มันกลับตัวไม่ทัน จะมาล่มเรือกลางหนอง ทิ้งของกลางคลองนี่ ไม่ทันแล้ว (หัวเราะกัน) ...มีมือมีตีนก็ต้องรีบพายแล้ว ถึงตรงนี้

เพราะมันมาลงกลางคลองแล้ว จะล่มเรือแล้วหันหาฝั่ง  พอดีฝั่งมันก็ไกลแล้ว ไอ้ฝั่งข้างหน้าก็ไกลมองไม่เห็น ...คือมันอยู่ตรงนี้แล้วบอก..."ไป ตายเป็นตายล่ะมึง" ... ก็ต้องเอาตายเข้าแลกแล้ว เอาชีวิตเข้าแลกนั่นน่ะ

ตั้งแต่ครูบาอาจารย์ทุกองค์ พระอรหันต์พระอริยะทุกองค์ ท่านบอกเอาตายเข้าแลกทั้งสิ้น เอาชีวิตเข้าแลก หมายความว่าทุกอย่างสละได้หมด เพื่อจะเอากาย เอารู้ เอาปัจจุบันไว้ เอาศีลสมาธิปัญญาไว้ 

นอกนั้นทิ้งให้หมดโดยที่ไม่อาลัยอาวรณ์เลย  นี่จึงต้องฝึกกำลังใจ กำลังสมาธิ ตั้งมั่นให้ถึงขั้นนั้น จึงจะเข้าไปเผชิญหน้ากับอาสวะ ...เรียกว่าเป็นมวยที่พอเทียบชั้นกัน

ในระดับพวกเราตอนนี้เหรอ เหมือนกับรุ่นมินิ...มินิฟลายเวทกับเฮฟวี่เวทน่ะ เข้าใจมั้ย  มันว่า “อีหนูมานี่ๆ”  ปึ้บ แค่นี้... ยังไม่ได้ต่อยนะ ... แค่นี้ก็ปลิวแบบ โอ้โหย ละล่องแบบกู่ไม่กลับเลยอ่ะ 

ดูเอาเอง จิตของพวกเราน่ะ ...กระทบอะไรนิดอะไรหน่อยนี่ ปิ้วววว หายไปแบบสามวันสามคืน กว่าจะ เฮ้อ ฮ้า กว่าจะน้อมกลับมาได้ กว่าจะทำใจได้ ... ดูเอาแล้วกัน ว่ากำลังศีลสมาธิมันระดับไหนกับอาสวะ

นี่ยังไม่เห็นหน้าค่าตาของอาสวะโดยตรง นี่แค่เสนามันนะ  มือตีนของมันนะ ... เราถึงบอกว่า ถ้าไม่ยิ่งยวดจริงๆ ไม่สามารถจะเผชิญหน้ากับมันได้เลยด้วยซ้ำ ...คนละรุ่นๆ

เพราะนั้นเราก็เร่งทำน้ำหนัก จากมินิฟลายเวทขึ้นมา อัพขึ้นจนถึงซุปเปอร์เฮฟวี่เวท ... ทีนี้ล่ะ เคยเห็นมั้ย ประเภทซุปเปอร์เฮฟวี่เวทนี่...แค่ย่างขึ้นบันไดก็กระเทือนแล้ว ...โลกกระเทือนแล้ว 

เพราะมันหนักแน่นน่ะ ... โลกนี่กระเทือนนะ ล้มทีกระเทือน ... กระแทกกระทั้นกันทีนี่ กระเทือนสามโลกธาตุเลยนะ ...มันหนัก ขั้นหนักแล้ว

แต่ไอ้คนนั่งรอบข้างมันไม่กระเทือนหรอก เพราะมันเป็นโลกธาตุภายใน เข้าใจป่าว ...ความรู้ที่มันไปรับกับโลกธาตุ เวลามันล้มที กระเทือนทีนี่... ตึง...ยิ่งกว่าอาฟเตอร์ช็อคอีก ...มันกระเทือนสามโลกธาตุเลย 

นี่ เขาเรียกว่า มวย...เข้าขั้นตายกันน่ะ ล้มทีตายเลยน่ะ ...มันกระเทือนหมด

อย่าไปทำน้ำหนักภายนอก (โยมหัวเราะว่า “นึกแล้ว หลวงพ่อต้องหันมาทางนี้”) ...ทำน้ำหนักของศีลสมาธิ ให้มันขึ้นเฮฟวี่เวท ...มัวแต่ไปทำน้ำหนักขันธ์ (หัวเราะ) มันก็อืด มันจะอืด น้ำหนักภายนอกนี่มันจะไปทับ  

โมหะ ...กินมากสังเกตดูสิ ง่วง แล้วก็ซึมกะทือ เบลอ ...เวลารู้เนื้อรู้ตัวมันก็ไม่แจ่มชัด ไม่แจ่มใส เนี่ย คือเป็นลักษณะอย่างนึงที่พระพุทธเจ้าท่านวางหลักของการกินน้อยหรือว่าสามมื้อ ให้เหลือสองมื้อ จนเหลือมื้อเดียว

แล้วระหว่างมื้อยังให้อุตส่าห์รักษาสติในการกินการเคี้ยวอีก นี่ ลองมีสติในการกินการเคี้ยวสิ ไม่เกินห้าคำสิบคำหรอก อิ่มแล้ว มันจะพอดีเป๊ะเลยน่ะ ...ไม่ได้พอดีตามความอยากนะ มันจะพอดีเท่าที่ขันธ์มันจะรับ

ไอ้ที่กินแบบไม่รู้ตัวนี่มันตามความอยากซะส่วนมาก  แต่ถ้ากินแบบรู้ตัวไปเรื่อยๆ มันกินไม่ได้อร่อยหรอก แล้วก็กินไม่ได้อิ่มของเรานะ แต่มันอิ่มของขันธ์ แล้วมันก็จะหยุด แล้วมันก็จะไม่มีอาการหิวโหย

นี่ เห็นมั้ยเวลาฝึก เพื่ออะไร...เพื่อให้มันสมดุล ให้ขันธ์มันสมดุลพอที่จะเป็นที่ตั้งของศีลสมาธิปัญญาได้ง่าย 

กว่าที่มันจะสำเร็จนี่  ภายนอก-ภายใน...ทุกอย่างประกอบกันหมด


...........................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น