วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/28 (2)


พระอาจารย์
12/28 (561111C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 12/28  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่ว่าถ้ามันออกไปรู้นอกขันธ์หรือว่ามีเรื่องให้รู้นอกขันธ์นี่ ...มันจะไม่จบ มันจะเกิดความสงสัยลังเล เกิดความต่อเนื่อง เกิดความปัจจยาการสืบต่อยืดยาว

แต่ในขันธ์นี่ ถ้าตั้งมั่นเป็นกลาง รู้มัน ดูมัน ...ไม่มีอะไรไม่จบ ไม่มีอะไรไม่ดับในตัวของมันเอง

จากที่มันอยู่เป็นนาน อยู่เป็นเดือน อยู่เป็นวัน อยู่เป็นช่วงเวลา ...ต่อไปนี่ทุกอย่างดับในขณะปัจจุบันหมด ไม่มีอะไร ...ชีวิตมีแค่หนึ่งขณะปัจจุบัน ขันธ์มีแค่หนึ่งปัจจุบันขณะ

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าชีวิตนี้สั้นนัก คือมีแค่หนึ่งปัจจุบัน...ดับแล้วดับเลย ...ถ้าหมดปัจจยาการแห่งกรรมวิบาก...ดับแล้วดับเลย

แต่ถ้ายังมีปัจจยาการแห่งกรรมและวิบาก มันก็มีการเกิดต่อ...เป็นขณะๆ ไป


โยม –  อย่างถ้าในตัวกรรมและวิบากยังไม่สิ้น หมายถึงว่าในช่วงเสวยอยู่  มันก็จะเห็นเป็นแค่ขณะๆ เท่านั้น  มันก็เหมือนกับมันไม่จำเป็นต้องไปเข้าใจหรือควบคุมอะไรทั้งสิ้น

พระอาจารย์ –  ไม่มีการควบคุม ไม่มีการบังคับ ไม่มีการเอาชนะ ไม่มีอะไรเลย ...ปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามสภาพ แล้วก็ไม่ไปหมายมั่นในแต่ละสภาพ ทั้งที่ดับไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่เกิด ทั้งที่ยังกำลังตั้งอยู่ แค่นั้นเอง 

เพราะไอ้ตัวหมายมั่นนั้นน่ะคือตัวเจตนา คือเรา...เจตนาคือเรา ...ถ้าไม่มีเรา มันจะไม่มีเจตนา 

ก็ให้เห็น ...ตราบใดที่มันยังมีอวิชชา มันจะมีเจตนาอยู่ตลอด ก็ดูไปรู้ไป ...ถ้ามันไม่เข้าไปให้ค่าในเจตนา นั่นแหละ มันก็จะมีความเสื่อมถอยลงของเจตนา

เหมือนกับไม่เข้าไปถือหาง ไม่เข้าไปให้กำลัง ไม่เข้าไปก่อ หรือไม่เข้าไปโอบอุ้มน่ะ ...อำนาจของอวิชชามันก็จะเสื่อมในตัวของมันเองไป


โยม –  ตัวอำนาจของอวิชชาตัวนี้ ก็คือตัวรู้นั่นเองใช่ไหมคะที่ห่อหุ้มอยู่ การที่เขาจะเข้าไปเห็นธรรม

พระอาจารย์ –  คือมันจะต้องถอนตัวนอกออกก่อน ...มันถึงจะเข้าไปถึงอวิชชาตัวใน

ถ้ายังไปมุ่งเอาตรงที่เข้าใจว่า "รู้" เป็นตัวอวิชชา แล้วก็ไปตรงนั้น...ไม่ได้ ...มันจะต้องถอดถอนๆ ในกองขันธ์ ในกองโลกไปเรื่อยๆ


โยม –  พระอาจารย์คะ แต่ตามความเข้าใจมันเหมือนกับมันเป็นของคู่กัน ใช่ไหมคะ คือมันเป็นตัวคู่กันอยู่ แต่เราไม่ได้ไปบอกว่าตัวใดตัวหนึ่ง ใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ตราบใดที่ยังเป็นของคู่น่ะ นั่นแหละ ยังมีที่หมาย ...คือหมายความว่ายังมีที่หมายให้มันเกิดอยู่

จนกว่ามันจะเหลือเป็นสิ่งหนึ่งๆ จริงๆ คือเรียกว่าจิตหนึ่ง จิตเอก ...นั่นแหละมันจึงจะเรียกว่าหมด หมดขันธ์ หมดที่อยู่ที่อาศัยของอวิชชาในภายนอก

นั่นถึงจะเรียกว่าเข้าสู่สภาวะจิตเอก ...อวิชชามันก็จะรวมอยู่ที่เดียว สามโลกธาตุก็จะเหลือแต่ใจกับอวิชชาอยู่คู่กัน ...อยู่ที่เดียวกันด้วย ไม่ใช่อยู่คู่กัน


โยม –  เคยได้ยินที่บอกว่า โดยตัวญาณเท่านั้นจึงจะเข้าไปสำรอกในตัว ใช้คำว่าในตัวของจิตใต้สำนึกใช่ไหมคะ ตรงนี้มันเหมือนกับว่าจริงๆ ในตัวจิตใต้สำนึกนี่ มันต้องผ่านไอ้ตัวญาณที่เป็นกลางตัวนี้ จนมันเข้าไปเห็นเองล้างเอง แล้วมันจึงจะเข้าใจในตัวของมันเองใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  อือ มันก็ไปลบล้างหมดน่ะ


โยม –  แต่จริงๆ ตรงนี้เขาก็จะเข้าใจของเขาได้ขณะหนึ่งๆ

พระอาจารย์ –  เป็นเรื่องที่มันทำงานของมันไปเอง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปรู้ในระบบการทำงานของมัน ...หน้าที่ของเราคือทำยังไงให้ญาณมันเกิด แค่นั้นเอง

แล้วเมื่อญาณเกิดแล้วนี่ หรือว่าปัญญาญาณมันมีแล้วนี่ ...ปัญญาญาณเขาทำงานของเขาเอง เขาเป็นระบบทำงานที่...คือมันเป็นธรรมที่ตรงข้ามกับกิเลสโดยตรงอยู่แล้ว

คือมันเป็น...เหมือนมันเป็นศัตรูในตัวของมันเองอยู่แล้ว เพราะนั้นมันจะอยู่คู่กับกิเลสไม่ได้

ธรรมชาติของญาณ ธรรมชาติของปัญญาญาณนี่ มันเป็นความสว่าง ซึ่งมันไม่สามารถจะทนอยู่ร่วมกัน หรือว่าความสว่างกับความมืดนี่มันจะอยู่ร่วมกัน...เป็นไปไม่ได้

เพราะนั้นมันเป็นธรรมที่หักล้างกันในตัวมันเลย ...ที่ไหนมันมีที่มืดที่มันไม่แจ้งอยู่ตรงไหนนี่ มันก็จะเข้าไปทำลาย ...เหมือนกับเข้าไปฉายความสว่างลงไปเพื่อให้เกิดความกระจ่างในตัวของมัน

นี่ไม่ใช่ว่าเราไปเรียก หรือว่าไปหา หรือไปบอกว่าต้องทำอะไร หรือไม่ต้องทำอะไร ...เขาจะทำของเขา

คือหน้าที่จะต้องทำในองค์มรรคเจริญมรรค คือทำให้ญาณบังเกิดขึ้น ทำให้ศีลบังเกิดขึ้น ทำให้สมาธิมันอยู่ต่อเนื่องขึ้น นี่คือหน้าที่ เท่านั้นเอง ...แล้วเมื่อมันทำหน้าที่นี้อยู่ ตัวศีลสมาธิปัญญาเขาก็ทำงาน

ซึ่งศีลสมาธิปัญญามันเป็นธรรมที่มันอยู่ตรงกันข้ามกับกิเลสโดยตรงอยู่แล้ว อวิชชามันอยู่ร่วมกับศีลสมาธิปัญญาไม่ได้ ....ทีนี้มันก็เข้าไปหักล้างๆๆๆ หักล้างไป 

เพราะนั้นการหักล้างนี่ มันก็ไม่รู้หรอก...อะไรหักล้างแล้วคืออะไร นี่เรียกว่าจิตใต้สำนึก จิตเหนือสำนึกอะไร ...มันไม่สนหรอก

มันก็ทำหน้าที่หักล้างของมันไปเงียบๆ ไปตามลำดับลำดา ตามกำลัง ตามภูมิปัญญา ตามภูมิของญาณนั้นไป...มาก-น้อยก็แล้วแต่

มันก็เข้าไปชำระไอ้สิ่งที่มันอยู่ในซอกหลืบของอวิชชาไป ...มือตีนของอวิชชามันก็ค่อยๆ หดหายไปเรื่อยๆ  


โยม –  เพราะฉะนั้นในลักษณะตรงนี้นี่ มันเหมือนกับว่าที่เดินตลอดในกระบวนการของเขานี่  ตัวนี้ภาษามันจะไม่ขึ้นมาเลยใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  มันเป็นตัวที่ลบบัญญัติสมมุติอยู่แล้ว ...เพราะบัญญัติสมมุตินี่คือความไม่จริง  อะไรที่ไม่จริงน่ะ อะไรที่เป็นความไม่จริงมันก็ลบหมดน่ะ


โยม –  ทีนี้นี่มันสามารถใส่ชื่อลงไปได้ไหมคะ พระอาจารย์

พระอาจารย์ –  ไม่ใส่หรอก


โยม –  ตะกี้ที่พระอาจารย์บอกว่าถ้าสมมุติมันยังไม่หมดจดนี่ คำว่าบริสุทธิ์มันก็ยังมีอยู่ แต่ว่าตัวของมันเองนี่ มันก็เหมือนกับมันจะมีการเทียบเคียงในตัวของมันใช่ไหมคะ ขณะที่มันยังไม่ชำระสุดๆ ของมัน

พระอาจารย์ –  ก็มันก็ต้องมีอุทธัจจะ นี่คืออุทธัจจะ ...ก็บอกว่าพระอรหันต์ถึงชำระได้ 


โยม –  อุทธัจจะในธรรม

พระอาจารย์ –  ก็นั่นแหละ คือตัวที่มันมาบัญญัติธรรมนั่นแหละ มันก็บัญญัติไปจนถึงวาระสุดท้ายของมันนั่นแหละ


โยม –  แต่มันก็สลับกันตรงที่ว่าพอมันไม่มี แล้วเดี๋ยวมันก็มีขึ้นมา

พระอาจารย์ –  มันก็เกิดดับ ...จนถึงที่สุดแล้วมันก็ออกจากความเป็นอุทธัจจะในธรรม แล้วมันไม่สนหรอกว่าธรรมนี้จะมีชื่อหรือไม่มีชื่อ หรือว่าใช่หรือไม่ใช่แต่ในระหว่างทางมันก็มีไปเรื่อยๆ น่ะแหละ


โยม –  ถ้าในลักษณะตรงนี้นี่ค่ะ เมื่อประมาณสามสี่ปีก่อน ตอนที่ไปหาครูบาอาจารย์นี่ แล้วท่านพูดถึงว่าโลกุตรธรรมเก้าน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นในจริงๆ ตรงนี้มันก็ผ่านในตัวของมันตลอดใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ทั้งหมดมันเป็นแค่ภาษาหมดน่ะ มันผ่านโดยที่มันไม่รู้หรอกว่ามันผ่านอะไรมาบ้าง มันไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย และมันไม่สนใจจะรู้ด้วย

สิ่งที่มันรู้ก็คือ...สิ่งนั้นคือสิ่งที่มันต้องละ มันไม่เก็บมาเป็นเสบียงกรังสะสมอะไรไว้เป็นความรู้เลย ...รู้อันไหนดับตรงนั้น รู้ตรงไหนดับตรงนั้น

สิ่งไหนที่มันเป็นเครื่องรู้ขึ้นมานี่ ถ้ามันนอกเหนือจากความเป็นจริงในกองขันธ์นี่ ดับหมด ...แล้วก็...เท่าที่ขันธ์ที่มันปรากฏนั่นน่ะสิ่งที่มันต้องการ

ญาณที่เป็นวิสุทธิญาณจริงๆ จะต้องเป็นจำเพาะขันธ์จริงๆ ...นอกเหนือจากขันธ์นี้ที่ปรากฏนี่ ...มันทิ้งหมดเลย

มันจะรู้อะไร มีความรู้อะไรโดดเด่นขึ้นมา มีความรู้ความอะไรผุดโผล่ขึ้นมา ...มันทิ้งหมด ดับหมดๆๆ มันเป็นของปลอมหมด ของปลอมปนในขันธ์หมด

อะไรที่มันปลอมปนเป็นมลทินน่ะ มันคัดกรองหมด สำรอกออกหมดนั่นแหละ ...มันจะดำรงคงไว้แต่ขันธ์อันบริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน ...เรียกว่าวิสุทธิขันธ์ เรียกว่าวิสุทธิธาตุ วิสุทธิธรรม

มันก็คงความบริสุทธิ์ของขันธ์จนบริสุทธิ์หมดจด ...แล้วนั่นน่ะมันจึงเรียกว่าทิ้งขันธ์โดยสิ้นเชิง 

อวิชชามันจะทิ้งขันธ์เพราะขันธ์มีแต่ความบริสุทธิ์ ...ไม่มีที่ตั้งของเราที่เป็นผู้เกิดผู้ตาย ไม่มีที่ตั้งของเราผู้เป็นสุขเป็นทุกข์ได้ในวิสุทธิขันธ์นี้ 

มันก็ถอยถอนออก...ก็เกิดอาการอวิชชามันทิ้งขันธ์ สำรอกขันธ์ออกมา ปลดปล่อยขันธ์เป็นอิสระ


...................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น