วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/27 (2)


พระอาจารย์
12/27 (561111B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 12/27  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แล้วกายมันอยู่ในไหนล่ะ ...กายมันอยู่ในโลกนะ  ไม่มีกายในที่อื่นนะ มีอยู่ในโลกนี้นะ เพราะนั้นมันก็ไม่เกิดในโลกแล้ว  ถ้าไม่มีกายก็ไม่มีโลก ไม่เกิดในโลก

เพราะกายจะไปเกิดในสวรรค์ไม่ได้ กายมหาภูตรูป จะไปเกิดในนรกก็ไม่ได้ ...มันต้องเกิดในโลกมนุษย์ที่เรายืนเหยียบเดินไปเดินมาอยู่เนี่ย ...เพราะนั้นเมื่อไม่มีกายมันก็ไม่มีโลก มันจะไม่เกิดในโลกแล้ว

เนี่ย ใครว่าหยาบ หือ อยากตบปากมัน ...ใครว่าติด ยิ่งภาวนากายยิ่งติดกาย หือ ...เรานี่ต้องการให้ติด ให้แนบแน่นเลย...แต่ว่าแนบแน่นอยู่กับกายปัจจุบันนะ

ไม่ใช่ไปแนบแน่นอยู่กับกายที่...'เมื่อไหร่จะสำเร็จวะ เมื่อไหร่มันจะดีกว่านี้วะ' ...แน่ะ ไอ้กายพวกนั้นอย่าไปแนบแน่นกับมัน...ไม่จริง ไม่ใช่กายศีล อย่าไปจริงจัง

คือถ้าเอาศีลเป็นบาทฐานแล้วนี่...กิเลสเบื้องต้นนี่มันหลอกไม่ได้ว่าอะไรจริงกว่ากัน อะไรเท็จกว่ากัน ...นี่ ศีลจึงกลายเป็นมาตรฐานเครื่องวัดเครื่องกรองความเป็นจริงของกายว่า อันไหนจริง อันไหนไม่จริง

ทีนี้พอถึงขั้นที่ว่ามันหมดความหมายมั่นในกายแล้วโดยสิ้นเชิงนี่  ส่วนที่มันเป็นเราในนามนี่...ผิวๆ บอกให้ ไม่ใช่ยากเย็นเข็ญใจเหมือนอย่างนี้หรอก

เพราะปัญญาในระดับนั้นมันเป็นปัญญาขั้นละเอียด ขั้นประณีตแล้ว  ทุกข์ก็จะเป็นทุกข์ละเอียด ทุกข์ประณีตแล้ว  การเลิกละเพิกถอนก็เป็นไปด้วยความไม่ยาก...แล้วก็ไม่ง่าย

เป็นไปแบบเรียบ เป็นไปแบบรู้เองเห็นเอง ...ไม่อาศัยตำรับตำรา ไม่อาศัยครูบาอาจารย์ ไม่อาศัยอะไรเป็นตัวเหนี่ยวนำแล้ว ...มันไปแบบรู้เองเห็นเอง เรียกว่าปีกกล้าขาแข็ง

แต่ในระดับเบื้องต้นนี่อย่าไปเรียกว่าปีกกล้าขาแข็ง เรียกว่าปีกกล้าขาสั่นดีกว่า ...สั่นยังไง ...คือไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเจออะไร ไม่รู้ว่าไอ้นี่เกิดขึ้นแล้วเราจะรับไหวไหม

มันยังมีความประหวั่นพรั่นพรึงกับอดีตและอนาคตอยู่  มันยังกลัวตัวเราในอดีตและอนาคตที่จะเจออยู่  ...เห็นมั้ย มันยังมีนะ ยังกลัวอยู่นะ

นี่เขาเรียกว่าภาวนาแบบขาสั่น วันไหนดีก็ดี ...แต่ว่าพอหยั่งน้อมไปข้างหน้านี่ ขาเริ่มสั่น... 'ไม่รู้กูจะทานไหวไหมนี่'

แต่ถ้าในระดับนั้นไปนี่...ที่เรียกว่าปีกกล้าขาแข็งนี่ ไม่มีขาสั่น ...เพราะไม่มีขาแล้ว  ไม่มีคน ไม่เราในอดีต ไม่มีเราอนาคตที่เนื่องด้วยกายแล้ว มันจะไปขาสั่นขาสู้อะไร

ใครประมาทกายใครประมาทศีลแล้วว่าได้มรรคผลเอ๊าได้มรรคผลเอา ...มันเอามาจากไหน หือ เดี๋ยวคนนั้นก็ได้ เดี๋ยวคนนี้ก็สำเร็จ ...โคตรง่ายเลยว่ะอย่างงั้น

ไอ้เรานั่งหัวปักหัวปำดูกายดูรู้...ดูกายดูรู้  ดูอยู่ รู้อยู่ ไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับภายนอกเลย ...ภายนอกคือบุคคลด้วย ภายนอกคือจิตนอกด้วย นี่ไม่ออกไปสังสรรค์เลย

อยู่ตัวคนเดียว อยู่กับรู้อันเดียว ในที่จำกัด ...นี่ เราเคยบอกแล้ว คราวที่แล้วเราก็บอกแล้วว่า...All for One  แล้วมันจึงจะเป็น One for All ...รวมกายเป็นหนึ่ง รวมจิตเป็นหนึ่ง...เป็นงานหลัก

ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะ มันจะไม่รู้เลยว่า...ไอ้หนึ่งกายจริงๆ นี่ หน้าตาของหนึ่งกายจริงๆ หน้าตาที่แท้จริงของมันคืออะไร มันมีหน้าเหมือนเรามั้ย

ถ้าว่าหน้าตรงนั้น หน้าตรงนี้ เหมือนเรา เป็นเรา ...แต่ถ้าหน้า...ที่เป็นหน้าเดียวนี่ หน้า...ที่เป็นหน้าศีล หน้าปัจจุบันนี่ ...ดูดีๆ เหอะ เดี๋ยวจะเห็นว่าหน้ามันเหมือนเรามั้ย

นี่ เขาเรียกว่ากายหนึ่ง รวมกายเป็นหนึ่ง รวมศีลเป็นหนึ่ง รวมสมาธิเป็นหนึ่ง รวมใจเป็นหนึ่ง ...นี่  All for One...หนึ่งรู้หนึ่งเห็น กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นปัจจุบันขันธ์ปัจจุบันกาย

เออ ขันธ์น่ะมันมีห้า แต่ไม่ต้องกลัวหรอก เอาหนึ่งให้รอดก่อน ...ถ้าหนึ่งยังไม่ได้ ถ้าหนึ่งยังไม่เห็น ถ้าหนึ่งยังไม่แจ้ง ถ้าหนึ่งยังไม่ตลอดนี่...อย่าอาจหาญ 

อย่าอาจหาญที่จะไปแจ้งไปรู้ในนามทั้งสี่...แล้วก็มาเหมาว่า กูแจ้งแล้วขันธ์ห้า ...ง่ายไปมั้ย โคตรง่ายเลยอย่างนั้น ใครก็ทำได้

ครูบาอาจารย์สมัยโบราณท่านถึงบอกว่า สมัยนี้พระอริยะนี่มันดาษดื่นเหลือเกิน เหมือนกับขายเนื้อสดปลาสดในตลาดนัด ...ทำไมมันง่ายอย่างนั้น

มันง่ายเกินไปรึเปล่า หรือมันได้แบบผิดทำนองคลองธรรม ผิดครรลองคลองมรรค  มันเลยมีกลาดเกลื่อนกว่าสมัยพุทธกาลซะอีก ...เดี๋ยวๆ ก็สำเร็จ เดี๋ยวๆ ก็สำเร็จ

อายุพระบางองค์ก็...เดี๋ยวๆ ก็สำเร็จแล้ว  อายุพรรษาสัก 1-2-3-4-5 พรรษา อุ้ย สำเร็จแล้ว ...โคตรง่ายเลย  แล้วก็เอาความง่ายนี้มาแจกจ่ายเจือจานด้วยเมตตา

เราถึงบอกว่าอย่ารีบ อย่าเอาเร็วเอาด่วน มันมักง่าย ...ถามว่ารู้กายเห็นกายได้นี่ ตอบกับตัวเองได้ไหมว่า...ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือยัง 

ถ้ายังตอบว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้...อย่า อย่าบังอาจ อย่าบังอาจสอนธรรม อย่าบังอาจยกตัวเอง...ซึ่งยังมี "เรา" อยู่ในการยกนั้น

เพราะนั้นในระดับเบื้องต้นจนถึงระดับอนาคามรรคอนาคาผลนี่...เงียบกริบ บอกให้ ...จิตนี่เงียบสนิทราบคาบเลยแหละ ไม่หือไม่อือ ไม่มีสิทธิ์หืออือ แล้วไม่กล้าหือกล้าอือด้วย

นี่ โดยอำนาจของศีลสมาธิปัญญา กดหัวมันอยู่นี่ เอามันจนจมน่ะ เรียกว่าสงบราบคาบ คามือคาตีนศีลสมาธิปัญญาเลย ...มันจึงจะยอมเปิดเผยความเป็นจริงออกมา คายให้เห็นว่าความเป็นจริงคืออะไร

นี่เรื่องกายเรื่องเดียวนะนี่ เรื่องอื่นไม่สน ...ใครว่ากายเป็นเรื่องง่ายๆ ...โธ่...รากเลือดน่ะ 

จับนักดูจิตน่ะมาเลย มานั่งเลย สามชั่วโมง เอาสิ อยู่ได้มั้ยกายน่ะ ทนได้มั้ยกับเวทนากายน่ะ  จับพระโสดาที่ว่ามานั่งเลย เดี๋ยวมันจะได้ด่ากายตัวเองแทนที่จะเป็นโสดา

เวทนาในกายนี่ กายที่เป็นทุกข์ ท่านเรียกว่ากายนี้คือก้อนทุกข์ ก้อนเวทนาทุกข์ ...คือก้อนนี้ก้อนกายนี่ มันจะแสดงความเป็นทุกขเวทนาจนถึงที่สุดและวาระสุดท้ายเลย

ไม่มีคำว่าพักยก ไม่มีคำว่าว่าง วาง หาย ...มันจะแสดงความเป็นเวทนาจนหยดสุดท้าย ขณะที่จะแตกดับเลย  แล้วมันจะหมดต่อเมื่อกายนี้ดับ  กายมหาภูตรูปดับเมื่อไหร่ เวทนาในกายดับพร้อมกัน

ไม่มีใครสามารถเอาชนะเวทนาได้เลย...ต่อให้เป็นพระอรหันต์ด้วย  ท่านก็จะอยู่กับเวทนาของทุกข์นี่จนหยดสุดท้ายเลย...เต็มๆ  แล้วก็ดับไปพร้อมกัน

เพราะนั้นไอ้แค่ทุกข์เล็กๆ น้อยๆ เจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่ายุงกัดแค่นี้ก็ขยับหนี ขยับแก้แล้วนี่ ...อย่ามาพูดว่าข้ามกาย ข้ามเวทนากายด้วยปัญญา หรือว่าข้ามเราในกาย ละเราในกายโดยหมดสิ้นโดยสิ้นเชิง

อย่ามาเหมา แล้วก็มาสมอ้างว่า...'เดี๋ยวต่อไปมันก็ละของมันไปเอง' ...เป็นไปไม่ได้ เนี่ย รู้กายเห็นกายแบบหยิบโหย่ง หือ รู้แบบหยิบโหย่งน่ะ

แล้วเอาเวลาส่วนใหญ่น่ะไปมุ่งมั่นจริงจังกับตรงนั้น ตรงนี้ ข้างนอกข้างนั้น ข้างนอกข้างเหนือกว่า ...แต่กายนี่รู้แบบหยิบโหย่งๆๆ อย่างนี้

เขาว่ามันหยาบ...'โอ้ย เดี๋ยวมันติด เดี๋ยวทีหลังก็รู้ของมันไปเองน่ะ' ...อือ มักง่าย  ภาวนาแบบมักง่าย 

อวดรู้ อวดดี อวดเก่ง อวดธรรม...ว่าปัญญานี่เหนือกว่าสมถะ เหนือกว่าวิธีการที่ทำกันอยู่ในการพิจารณากาย หรือว่าสติในกายเป็นสติหยาบๆ พื้นฐาน

ก็แค่พื้นฐานมันยังไม่ได้เลยน่ะ ...แล้ว กลาง สูง มันอยู่ไหนได้ล่ะ หือ ...พื้นฐานไม่สน ว่าเป็นแค่พื้นฐาน...พื้นฐานเด็กๆ ...เด็กๆ เขาทำกัน

ก็ถ้ามันไม่มีเด็ก มันจะมีคนแก่ตายมั้ยนี่  หรืออยู่ดีๆ ก็เกิดมาปุ๊บแก่ตายปั๊บ ไม่ทันเด่ะ ...บ้ารึเปล่า ทำไมมันภาวนากันมาตั้งหลายปีดีดัก มันกลับให้กิเลสความโง่มันหลอก เอาธรรมมาหลอก


(ต่อแทร็ก 12/28)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น