วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/27 (1)


พระอาจารย์
12/27 (561111B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  การที่กลับมารู้กายที่เดียว รู้ตรงลงไปที่กายเดียว ...มันเหมือนเข้าไปเจาะ...ให้มันทะลุลงไปในสิ่งที่มันห่อหุ้มกายอยู่

อะไรที่มันห่อหุ้มกายอยู่ ...ความเห็น ความคิด ความจำ ภาษา บัญญัติ ความเชื่อ ตำรา ถ้อยคำคนอื่น อดีต อนาคต ...นี่ ที่มันเป็นเมฆเป็นหมอกบังกายธาตุกายธรรมอยู่นี่

เพราะนั้น สติ ศีล สมาธิ ...การนึก การน้อม การระลึก การทวน การหยั่ง การรู้อยู่ที่เดียวนี่ ...เหมือนมันเป็นคมมีดน่ะ ที่มันเข้าไปแหวกสิ่งที่มันห่อหุ้มปกคลุมปิดบัง

ด้วยอำนาจของอวิชชาความไม่รู้...มันสร้างทิฏฐิสวะ ภวาสวะ กามาสวะ อวิชชาสวะ...มาห่อหุ้ม ...จนคลาดเคลื่อนจากความเป็นธาตุแท้ธรรมแท้ของกาย

เหนียวด้วยนะ หนังมันเหนียวด้วย ...ก็มันหุ้มมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว ...เพราะนั้นในระดับความคิดความจำนี่ ไม่สามารถที่จะเข้าไปลบล้าง...หรือว่าแหวกอะไรออกได้เลย

ถ้าไม่ใช่คมมีดของปัญญาญาณ ความเฉียบคมของปัญญา ความแหลมคมของปัญญาที่เกิดจากสมาธิที่เป็นสัมมา...ที่เกิดจากสติ ที่เกิดจากศีล...ที่เป็นสัมมา 

มันจึงแหวกเข้าไป เจาะเข้าไป ลึกซึ้งเข้าไป ...จนมันเข้าไปเห็นเนื้อแท้ธรรมแท้ได้...เป็นขณะๆ ไป 

นี่ ขนาดว่าได้นี่...มันยังเห็นแค่เป็นขณะๆ ไปเอง ...ยังไม่คณามือกับอำนาจของอวิชชา สักกายทิฏฐิที่มันปิดบังปกคลุม ...เผลอเมื่อไหร่ กำลังของสติสมาธิน้อยลงด้อยลงเมื่อไหร่...ก็คลุมอีก 

ถึงบอกว่าถ้าไม่ถึงขั้นมหาสติ ...ไม่มีทางที่จะปอก ลอก คลี่คลาย กายนี้...จนถึงที่เรียกว่าสว่างกาย

เพราะนั่นไม่มีอะไรปกคลุมได้แล้ว อำนาจของปัญญานี่ถ่างออกหมด ...มันก็มาบังกายไม่ได้แล้ว กิเลสมาบังกายก็ไม่ได้ บังใจก็ไม่ได้ ...อะไรคือบังใจ...จิต

ใจก็สว่าง กายก็สว่าง ...ธรรมชาติก็เปิดเผยตัวของมันเอง ธรรมชาติของขันธ์ที่เรียกว่าสมมุติว่ากาย มันก็เปิดเผยความเป็นจริง 

ว่าเป็นเพียงแค่สิ่งหนึ่ง ก้อนหนึ่ง อาการหนึ่ง ...หามีสาระแก่นสารอันใด เป็นใคร เป็นประโยชน์ให้ใครของใครแต่ประการใด ...เป็นเพียงแค่ก้อนกองหนึ่งที่ประชุมกันขึ้นตามวาระ

ซึ่งไอ้ตามวาระนั่นก็คือ...ตามเหตุปัจจัย ...ไม่ใช่ตามเรา ไม่ใช่ตามเราว่า ตามเราอยาก ตามเราไม่อยาก...ไม่ใช่

มันจะรู้เห็นในกายเช่นนั้นน่ะ จนมันแน่ใจ ...ไม่ใช่ตายใจนะ แต่จนมันแน่ใจ ...แน่ใจขนาดไหน ...แน่ใจขนาดไม่หวน ไม่หวนกลับมาเกิด

ไม่หวนมาเกิดเป็นเรา ของเรา...แม้แต่ขณะหนึ่ง อณูหนึ่ง ส่วนหนึ่งของลักษณะที่เรียกว่ากาย ...นั่น ท่านเรียกว่า...เอาจนแน่ใจ

เพราะกิเลสน่ะ มันซับซ้อน มันลึกซึ้ง มันเจ้าเล่ห์แสนกล ...ดูเหมือนหมด ดูเหมือนไม่มีแล้ว...เดี๋ยวมันก็มา  ไม่รู้มันไปมุดอยู่ที่ไหน เดี๋ยวมันมาใหม่อีก

มันก็ซ้ำซาก ซ้ำอยู่ตรงนี้ ...ละแล้วละอีกๆ เพิกถอนแล้วเพิกถอนอีก ...แม้จะดูเหมือนเพิกถอนหมดแล้ว ก็ยังไม่ไปไหน

ถ้ามันเพียรซ้ำซากอยู่ตรงนี้ อย่าว่าแต่กิเลสที่มันออกมาเป็นตัวเราเลย แค่มาเป็นเงานี่ยังเห็นเลย...เงาของกิเลสนะ ...มันก็เห็น

ญาณทัสสนะที่มันจดจ้องจดจ่ออยู่นี่ แม้แต่เงายังเห็นน่ะ ...เงาที่จะเป็นเค้าลางของกิเลส ของเราน่ะ ยังไม่อนุญาตให้มันผุดโผล่ออกมาเลย

จนกว่ามันจะเกิดภาวะเป็นปัจจัตตัง เรียกว่าเกิดความยอมรับโดยสิ้นเชิง...ว่ากายนี้ หาความเป็นเราไม่ได้เลยแม้แต่เสี้ยวปรมาณูหนึ่งน่ะ ...นี่ โดยปัจจัตตังเลย

เมื่อถึงขั้นนั้นน่ะ...จิตเรานี่  จิตเราหรือจิตอวิชชานี่ ที่มันไปเกิดอยู่ในความเป็นกายนี่  มันไม่ไปเกิดแล้ว มันไม่ไปหาที่เกิดในกายได้อีกแล้ว ...เพราะไม่มีที่ให้มันเกิดได้อีกแล้ว

ทำไมถึงไม่มีที่ให้มันเกิดได้แล้ว ...เพราะมันเห็นจนตลอด จนสุด จนรอบ  หมุนวนแล้วหมุนวนเล่า ว่ากายนี้เป็นอนัตตา ปราศจากความเป็นตัวตนที่แท้จริง

จิตเราผู้ไม่รู้นี่...ซึ่งมันยังไม่หมดไปนะ...แต่มันไม่สามารถมาเกิดในกายนี้ได้ ...แล้วมันก็ไม่อยากมาเกิดในกายด้วย  เพราะมันรู้ว่าเกิดแล้วไม่ได้สุขได้ทุกข์ในกาย ...มันจึงทิ้งกาย

อวิชชานี่ทิ้งกายก่อน จะมาทิ้งกาย ทิ้งขันธ์หยาบตัวแรกก่อน ...เหมือนมันถอย มันถอน... เพราะมันยังมีอีกสี่ขันธ์ให้อยู่ ...แต่ว่าขันธ์นี้มันอยู่ไม่ได้แล้ว 

อวิชชามันหด ความเป็นเราก็หดพร้อมกับอวิชชา ...มันก็หาที่อยู่ใหม่ ที่กายมันไม่อยู่แล้ว ...แต่ว่ามันทิ้งอันนี้ไป แล้วมันก็มาอยู่ตรงที่มันว่ามันอยู่ได้ เป็นเราได้...คือนามทั้งสี่

เนี่ย ปัญญาขั้นละเอียดเท่านั้นน่ะ ถึงจะไปถอยถอนกับนามทั้งสี่...ออกจากรู้อีก ...เห็นมั้ยว่าการขาดในขันธ์นี่ มันจะขาดเป็นเรื่องๆ เรื่องๆ ไป...ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ประณีต

พอถึงจุดที่มันถอนออกจากกายนี่ อวิชชานี่ถอน ความเป็นเรานี่หมด ...เพราะไม่มีเราไปเกิดในกายแล้ว ไม่เกิดในความรู้สึกในกาย ไม่เกิดเราผู้เป็นสุขเป็นทุกข์ในกายแล้ว

ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งองคาพยพใดองคาพยพหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นธาตุ ไม่ว่าจะเป็นเวทนา ไม่ว่าจะเป็นผัสสะ ไม่ว่าอะไรที่เนื่องด้วยกาย ไม่ว่าอายตนะไหนที่เนื่องด้วยกาย...คือโลก

เห็นมั้ย เฉพาะกายนี่ ไม่ใช่แค่กายแล้ว แต่หมายรวมสิ่งที่เนื่องด้วยกายทั้งหมด...คือโลก 

เพราะกายตัวนี้เป็นตัวเชื่อมโลก ผ่านอายตนะและผัสสะห้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย

เพราะฉะนั้นน่ะ อวิชชามันไม่เกิดแล้วในกายและในโลก

เพราะนั้นผู้ที่ไม่มาเกิดมีกายอีกต่อไป...ผู้ที่ในปัจจุบันก็ไม่เกิด อดีตก็ไม่เกิด อนาคตก็ไม่เกิด โลกก็ไม่เกิด...โลกนี้ โลกที่เราเหยียบนี่ ...ใครเล่าจะเป็นผู้ที่ไม่เกิดมาเป็นคนอีก ...ก็มีแต่พระอนาคามี 

นี่ ถ้าไม่มีปัญญาที่เห็นความเป็นจริงของกาย...จนถึงที่สุดนี่ ...มันไม่มีทางเลยที่อวิชชาจะถอนตัวออกมาจากกาย

ทำไมมันไม่ถอน ...เพราะมันยังเห็นว่ากายนี่ยังเป็นที่หาความสุข-หาความทุกข์ได้อยู่ ...มันยังตั้งความเป็นเรา มันยังตั้งความเป็นภพได้ในกายนี้ 

ขณะนั่งแล้วเมื่อย มันยังหาสุขในกายนี้ที่ไม่เมื่อยได้ เห็นมั้ย...ภพ ...มันยังเลือกได้ ...มันเข้าใจว่ามีสุขอยู่ในกายนี้ ถ้าเอาขาออก ใช่มั้ย ...ความเป็นเราก็อยู่ที่ตรงนี้ 

มันเลือก ...แปลว่ามันยังเห็นกายนี้เที่ยง มีที่ตั้งของสุขอยู่ได้ ...นี่เขาเรียกว่าปัญญาหยาบ ยังไม่เห็นอะไรเลยในกาย ...แล้วมันจะหลุดพ้นออกจากความเกิดมามีรูปที่มันยังหาความสุขในรูปนี้กายนี้ได้หรือ

เกิดแน่ๆ นักดูจิตเกิดแน่ๆ บอกให้เลย เกิดเป็นคนแน่ๆ ไม่มีทางเล็ดลอดหรือว่าหลุดขาดหรือว่าข้ามความเป็นคนได้ ความเป็นมหาภูตรูป...อย่าว่าแต่มหาภูตรูปที่เป็นคน มหาภูตรูปของสัตว์ด้วย

เพราะนั้นที่เราสอนนี่ เราแนะเรื่องกายนี่ เราไม่ได้สอนให้มาตายแค่โสดาบันนะ ...อย่างต่ำต้องอนาคานะ ถึงจะเลิกดูกาย

ใครจะว่าโง่ ใครจะว่าต่ำ ใครจะว่าหยาบ ไม่รู้อ่ะ ...คนที่ละกายได้ ทิ้งกายได้ อย่างต่ำ...อนาคามี 

นั่น คือว่าจะไม่เกิดกับกายอีกแล้ว จะไม่มีกายเป็นที่อยู่อาศัยอีกแล้ว จะไม่สร้างกายใหม่เป็นที่อยู่อาศัยอีกแล้ว


(ต่อแทร็ก 12/27  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น