วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/26 (1)



พระอาจารย์
12/26 (561111A)
11 พฤศจิกายน 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ไปภาวนาให้มันวุ่นวี่วุ่นวาย จับต้นชนปลายกันไม่ถูก ...ไม่รู้ไปภาวนาหรือไปทำขึ้นมา 

มันไปพยายามภาวนาหา พยายามภาวนาทำกัน ...จะไปทำให้ได้ ไปทำให้เกิดอะไรในขันธ์ขึ้นมา ...ซึ่งต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างได้ไม่เหมือนกัน

การภาวนานี่ เป้าหมายหลักของการภาวนานี่...คือทำความรู้แจ้งในขันธ์ ...ไม่ได้ไปทำอะไรขึ้นมาใหม่

แต่มันจะไปหาอะไรที่ดีกว่าความเป็นไปในขันธ์ การปรากฏอยู่ในขันธ์ ....ทั้งๆ ที่ว่ามันอยู่กับขันธ์ห้ามันยังไม่รู้จักขันธ์ห้าเลย  มันเกิดมามีชีวิตกระทั่งตายไปพร้อมขันธ์ห้า มันยังไม่รู้จักขันธ์ห้าเลย

พอมาภาวนาก็พยายามไปค้นไปหาสภาวะ...สภาวะอารมณ์ สภาวะจิต สภาวธรรม อะไรก็ตามที่มันนอกเหนือขันธ์ห้า ...มันจึงมีความเห็นต่าง เพราะว่าผลมันไปทำให้มันต่างกันไปตามวิธีการปฏิบัติ

ผลที่ได้มันก็เลยเกิดความไม่รวมเป็นอันเดียวกันได้ ความเห็นจึงไม่เห็นตรงเห็นชอบในสิ่งเดียวกัน ไม่เป็นความเห็นเดียวกันที่เป็นสัมมาทิฏฐิ

การเรียนรู้...ก็เรียกว่าการภาวนา  เป็นการเรียนรู้ขันธ์ห้า เป็นการทำความเข้าใจในขันธ์ห้า เป็นการทำความชัดเจนในขันธ์ห้า ...ซึ่งขันธ์ห้ามันมีตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ประณีต

เริ่มต้นน่ะ...ไม่มีปัญญา ไม่มีสมาธิ ...ยังไม่มีปัญญา ปัญญาน้อย ปัญญาอ่อนอยู่ ...มันจะไปทำความรู้แจ้งเห็นจริงในขันธ์ส่วนละเอียดส่วนประณีตได้ยังไง

สติน้อย ปัญญาน้อย ...มันก็ต้องเริ่มไต่เต้าขึ้นมาจากปัญญาขั้นหยาบ กับขันธ์ขั้นหยาบ …แล้วแค่ขันธ์หยาบยังเห็นไม่รอบ เห็นไม่ตลอด จะไปทำความรู้จักรู้จริงกับขันธ์ละเอียด ...ถึงโดนกิเลสหลอกหมด

ปัญญาเท่าหางอึ่ง แต่จะไปพิจารณาขันธ์ในส่วนละเอียด เข้าไปรู้เข้าไปเห็น หาความเป็นจริงในขันธ์ส่วนละเอียด ...มันไม่มีทางเกิดความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงได้

มันต้องค่อยๆ สะสมปัญญาไปตามลำดับขั้น ก็ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียดขึ้นไป ...โดยเบื้องต้นมันก็ต้องเริ่มจากที่กาย...กายเป็นส่วนที่หยาบ ใครๆ เขาก็รู้ว่ากายนี่หยาบสุด

แต่ของหยาบที่ว่าหยาบๆ อย่างกายนี่ แล้วมันเมินหน้าหนี ...มันบอกว่าง่ายเกินไป มันบอกว่าปัญญาน้อยเกินไป กับการพิจารณากาย การรู้อยู่กับกาย การเห็นอยู่กับกาย

เดี๋ยวก็กลัวจะติดข้อง กลัวจะช้า กลัวจะเสียเวลา ...แล้วก็จะไปหาอันนู้นอันนี้มาเป็นเครื่องพิจารณา มาเป็นเครื่องกำหนดรู้ เพิ่มพูนสติปัญญา

ก็แค่หยาบๆ นี่ ...หยาบยังไม่รู้เลย หยาบยังไม่แจ้งเลย ยังไม่เห็นโดยตลอดเลย ...มันยังไม่เห็นกายตามความเป็นจริงเลย มันจะไปเห็นอะไร

เพราะนั้น ถ้ามันเริ่มต้นไปถูกที่ ถูกทาง ถูกฐานแล้วนี่ ...มรรคมันก็เป็นไปตามขั้นตอน  มันก็เรียนรู้ขันธ์ไปตามหยาบ กลาง ละเอียด ...ค่อยๆ ลึกซึ้งเข้าใจไป

ถ้ายังไม่รู้แจ้ง ถ้ายังไม่เห็นจริงในกาย หรือยังไม่หมดความหมายมั่นในกาย ยังล้างมิจฉาทิฏฐิในกายออกไม่ได้นี่ ...อย่าไปทำที่อื่น 

อย่าคิดว่าไปทำที่อื่นมันจะเร็วกว่า ช่วยได้มากกว่า หรือทำให้เข้าใจในกายได้มากขึ้น ...ไม่มีทาง

มันต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ อยู่อย่างนี้  วนเวียนอยู่ที่นี้...ที่กายนี่ ...ไม่ไปที่อื่น ไม่ไปหาความรู้ความเห็นที่อื่น ไม่ไปหาความเป็นจริงที่อื่น ส่วนอื่นของขันธ์

ถ้ามุมานะแล้วก็เพียรพยายามซ้ำซาก รู้เห็นซ้ำซากลงไปในกายก้อนเดียวนี่ ...เอาจนกว่ามันจะแจ้ง เอาจนกว่ามันจะชัด เอาจนกว่ามันจะคลายออกจากความสงสัย...ว่ากายนี้เป็นเราเป็นของเราอย่างไร 

เรียกว่าในทุกแง่ทุกมุมของกาย ในทุกองคาพยพ ในทุกการปรากฏ ในทุกลักษณะอาการ ...จนมันไม่ยึด จนมันไม่ถือ จนมันไม่ติด จนมันไม่เข้าไปข้องกับกายแล้ว

นั่นน่ะ การเรียนรู้ในขันธ์ละเอียด ส่วนประณีต ส่วนสุดประณีต มันก็ค่อยๆ เรียนต่อไปตามลำดับ ...ไม่งั้นน่ะ มันเป็นการภาวนาแบบมักง่าย เอาแต่สะดวก เอาแต่เร็ว เอาแต่ปัญญา 

แต่มันกลับละเลย เพิกเฉย ต่อความเป็นจริงของกาย ต่อความปรากฏขึ้นของกาย ...ซึ่งเป็นสิ่งที่ว่ามันยังยึดมั่นถือมั่นในความเป็นกายเรา ตัวเรา...อย่างเหนียวแน่น แนบแน่น 

มันยึดมั่นแม้กระทั่งชื่อ กระทั่งเสียง กระทั่งหน้าตา กระทั่งความเป็นหญิงเป็นชาย กระทั่งความเป็นสัตว์บุคคลน่ะ ...แต่มันกลับละเลย ภาวนาแบบละเลย 

นี่ โดยไปประมาทกาย นี้คือมันไปปรามาสศีล ...และการภาวนาที่ปรามาสศีลน่ะ หรือล่วงเกินศีลโดยที่ไม่รู้ตัว หรือไม่รู้จักว่าศีลคืออะไรอยู่ที่ไหนนี่

มันจะเกิดสภาวะที่เรียกว่ามรรคสมังคีได้อย่างไร มันจะเกิดความที่ว่าสมดุลในศีลสมาธิปัญญาเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร แล้วมันจึงจะเกิดสภาวะที่เรียกว่าเป็นมรรคปหานได้อย่างไร...ไม่มีทาง

เพราะนั้น จะมาเอาส่วนอื่น จะมาเอาอุบายอื่น จะมาเอาลักษณะอาการอื่นมาเป็นที่ตั้ง ที่เริ่มต้น...ไม่ได้  ...เพราะกายนี้ศีลนี้ มันเป็นปากทางของมรรค

ถ้าไม่เริ่มต้นตรงนี้ ถ้าไม่เริ่มต้นที่กาย ไม่เริ่มต้นจากศีลเป็นรากฐานนี่ ...มันหาที่จบไม่ได้ในขันธ์ มันหาที่สิ้นสุดในขันธ์ไม่ได้

จะภาวนาดี ภาวนาเก่ง จิตจะดี จิตจะเก่งขนาดไหนก็ไปไม่รอด ...สุดท้ายตายแล้วก็กลับมาเกิดใหม่ เป็นคนใหม่อีก

เพราะไม่รู้จักองค์ประกอบของความเป็นคน องค์ประกอบของความเป็นกาย องค์ประกอบของความเป็นธาตุมหาภูตรูปเลย

เพราะว่ามัวแต่ไปภาวนาหามรรคหาผลในที่ไหนก็ไม่รู้ ...ในจิตบ้าง ในเวทนาบ้าง ในกิเลส ละกิเลส อะไรมากมายก่ายกอง

แต่กลับละเลยเพิกเฉยในความเป็นกายที่มันดำรงคงอยู่ รวมตัวกันปรากฏขึ้นเป็นลักษณะรูป ลักษณะนาม สมมุติว่าคน สมมุติว่าสัตว์ สมมุติว่าชาย สมมุติว่าหญิง

นี่มันไม่รู้จัก ไม่แยบคาย ไม่มีปัญญา ไม่รู้แจ้ง ไม่เห็นจริง...ในความเป็นเพียงแค่สภาวะธาตุสภาวธรรมหนึ่ง

แค่รู้พอจำ หรือว่าแค่รู้พออ่านมา หรือว่าแค่รู้ตามแบบคิดเอาประเดี๋ยวประด๋าวนี่ มันไม่ใช่... ไม่ใช่ว่ามันจะเข้าใจลุล่วงในกายโดยตลอด

กิเลสอวิชชาอาสวะ ความยึดมั่นถือมั่นในกาย ในตัวตนของกายนี่...ที่เป็นเรา ที่เป็นสัตว์บุคคล ...มันเหนียวแน่นมากกว่านั้น

การคิดการวิเคราะห์เอาแบบลวกๆ อ่านเอาแล้วก็ว่าเข้าใจแล้วว่ากายเป็นธาตุ แล้วก็ว่าพอแล้ว ...นี่มันไม่ได้เข้าไปแตะต้องได้ถึงกิเลสอาสวะในส่วนของกายเลย

มันไม่ได้ละเลิกเพิกถอนอะไรเลย นะ มันไม่สามารถที่จะเข้าไปลบล้างความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นกายของเราได้เลยแม้แต่นิดเดียว

เพราะนั้นมันจะมาอาศัยแค่สุตตะ จินตา แบบลวกๆ  นึกเอา คิดเอา อ่านเอา ฟังเอา แล้วว่าเข้าใจแล้ว ไม่ต้องพิจารณากายแล้ว เข้าใจแล้วว่าเป็นธาตุ ไปทำส่วนอื่นแทน ...นี่ มักง่าย

ปัญญาที่มันจะเข้าไปละเลิกเพิกถอนความยึดมั่นถือมั่น กิเลสอาสวะความไม่รู้นี่ ...มันต้องเป็นปัญญาระดับที่เรียกว่าภาวนามยปัญญา คือปัญญาในระดับที่เรียกว่าเป็นญาณทัสสนะ

มันจึงจะเข้าไปละเลิกเพิกถอน สิ่งที่มันสร้าง...อวิชชานี่มันมาสร้างปกคลุมไว้ ...ให้มันจางคลายกระจัดกระจายออกไป ปัดเป่าออกไป คลี่คลายออกไป

จนมันเห็นด้วยตัวของมันเอง...ถึงเนื้อแท้ ธรรมแท้ ธาตุแท้ของกาย ...ด้วยดวงจิตผู้ไม่รู้นั่นแหละ...ให้มันรู้ซะ

ให้ “เรา” มันรู้จักซะมั่ง ว่ากายที่มันคิดว่าเป็นเราๆ นี่ ...ให้ “เรา” มันเห็นซะบ้าง ว่ามันยึดอะไร มันยึดตรงไหน มันยึดทำไม ...ให้มันเห็น ...จนมันจำนนต่อหลักฐานความเป็นจริงที่ปรากฏ 

มันจึงจะยอมปล่อย ยอมคลาย ยอมถอยห่างออกมา ยอมออกจากความหมายมั่นยึดมั่นถือมั่น ...จนถึงขั้นที่ว่าไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปโดยเด็ดขาด

ไม่งั้นจะมากี่ครั้ง จะมากี่หน จะมากี่รอบ เราก็จะพูดแต่เรื่องกาย ...เพราะเรายังไม่เห็นใครข้ามกายได้สักคน ...ยังไม่เห็นคนที่มาฟังนี่ แล้วแจ้งในกาย จนละทิ้งกาย ความหมายมั่นในกายได้สักคน

เพราะนั้น อย่าเบื่อที่มาทุกครั้งเราก็จะพูดแต่เรื่องกาย ...เพราะมันยังไม่มีใครละกายได้เลยจริงๆ

เพราะอะไร ...เพราะมันมัวแต่ไปทำเล่น กำหนดรู้กำหนดเห็นเล่นๆ ไป ...มันไม่จริง มันก็เลยไม่เห็น มันเลยไม่สามารถหยั่งเข้าไปถึงความเป็นจริงของความเป็นก้อนกายนี้

ที่เป็นแค่ก้อนศีล ก้อนธาตุ ก้อนธรรม ก้อนทุกข์ ก้อนเวทนา ก้อนอนิจจัง ก้อนทุกขัง ก้อนอนัตตา นี่คือธาตุแท้ของมัน ...ไม่มีความเป็นก้อนเราของเราตรงไหนที่ใดที่หนึ่งเลย

ใครเขาว่าภาวนาอย่างนั้นดี ใครเขาว่าภาวนาอย่างนั้นเร็ว  ก็อย่าไปเห่อเหิมตามกันไป ...ถ้ายังรู้กายไม่ได้ รู้กายไม่ทั่ว รู้กายไม่ตลอด เห็นกายไม่ทั่ว เห็นกายไม่ตลอดนี่...อย่าออก อย่าหนี

ให้วนเวียนอยู่ในก้อนกองนี้ ...อย่าไปจมโข่งอยู่กับการค้นหาสภาพธรรมสภาวธรรมที่ละเอียด ลึกซึ้ง ประณีตอะไรเลย


กายก้อนแค่นี้...ยังดูไม่ตลอด ยังรู้ไม่ต่อเนื่อง ยังเห็นไม่ต่อเนื่อง ...มันไม่มีทางที่จะเพิกถอนความยึดมั่นถือมั่นในกายได้เลย นะ


(ต่อแทร็ก 12/26  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น