วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/28 (1)


พระอาจารย์
12/28 (561111C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ยว่า ตั้งแต่กายตัวเดียว รู้ที่เดียวนี่ ...มันเข้าสู่ความจบสิ้นของขันธ์ห้าได้อย่างไร มันเข้าสู่ความหลุดพ้นจากธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างไร มันพ้นจากอำนาจเครือข่ายระบบของไตรลักษณ์ได้อย่างไร 

มันไม่มีอะไรที่จะมาขัดแย้งได้เลย บอกให้ ...จะไปยกตำรา จะไปยกวิธีการตรงไหน มาขัดแย้งอย่างที่เราพูดนี้ไม่ได้เลย 

ต่อให้มันจะสร้างคำพูด สร้างวิธีการที่ดูดี ดูเก่ง ดูเหนือ ดูเลิศขนาดไหน ...จะมาขัดแย้งกระบวนการ ลักษณะอาการความเป็นไปอย่างนี้ไม่ได้เลย 

เพราะว่านี่คือครรลองของมรรค ที่เรียกว่าเอกายนมรรค ...คือเอก คือหนึ่ง  ไม่มีทางอื่น ไม่มีทางเลือก ไม่มีทางลัด ไม่มีตรงกว่านี้คดกว่านี้...ไม่มี ...มีทางเดียว คือทางเดียว 

ทางเอกคือทางเอก ...เถียงไม่ได้ ลบล้างไม่ได้ ...มันจะประจักษ์แก่ผู้ปฏิบัติ ต่อเมื่อผู้นั้นน่ะ...ตรงต่อศีล ตรงต่อสมาธิ แล้วก็ตรงต่อปัญญาอย่างยิ่งยวด ...ไม่ใช่มาหยิบๆ โหย่งๆ

เพราะนั้น อย่าเบื่อ อย่าท้อ ในการรู้ซ้ำซาก เห็นซ้ำซาก ในอาการ ในอิริยาบถใหญ่และย่อย  อย่ากลัวโง่ อย่ากลัวช้า อย่ากลัวไม่รู้อะไร ...เพราะต้องการไม่ให้รู้อะไรเลย ...ให้รู้อันเดียวคือกาย จำกัดความรู้ไว้

รู้นอก..ไม่เอา รู้ออกนอกขันธ์..ไม่เอา รู้ไปข้างหน้า..ไม่เอา รู้ไปตามตำราเหมือนตำรา..ไม่เอา รู้แบบคนอื่น รู้ตามคนอื่น..ไม่เอา ...รู้อย่างเดียว จำกัดความรู้ไว้ให้มันรู้เดียว...กับสิ่งเดียวกายเดียวปัจจุบันเดียว

ถ้าไม่รวม ถ้าไม่ตั้งใจรวมกายรวมจิตไว้ ถ้าไม่ตั้งรวมกายรวมจิตไว้ตลอดเวลา ถ้าไม่ตั้งรวมกายรวมใจไว้ในกิจวัตรประจำวันทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว ...มันจะเข้าสู่ความบริบูรณ์ของศีลสมาธิไม่ได้

ถึงจะได้ปัญญาบ้างเป็นระยะๆ ก็เป็นแค่ปหาน นิดๆ หน่อยๆ ...นี่แค่กิเลสพอสะดุ้งล่ะว่ะ แต่ยังไม่ตายง่ายๆ  มันยังฆ่าล้างครัว ฆ่ายกโคตรไม่ได้

อย่าจับจด อย่าหยิบโหย่ง อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อย่าหมุนหันไปมา อย่าหันรีหันขวาง อย่าละล้าละลัง อย่าจับปลาหลายมือ อย่าลังเลสงสัยในการปฏิบัติของตัวเองในองค์มรรคในองค์ศีล

มันจึงจะรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา ...นี่ ปากเหยี่ยวไม่ค่อยกลัวน่ะ กลัวปากกา...ข้อความอรรถธรรมที่ขีดเขียนกันเต็มไปหมด ตำรานี่เต็มห้องสมุด เต็มเว็บ เต็มโลก เต็มไปหมด

อย่างนี้ถึงว่ามันจะรอดพ้นมั้ยเนี่ย จากปากเหยี่ยวกับปากกา ...ถึงบอกว่ามันภาวนาขาสั่น...สั่นถอย กับสั่นหนี แล้วก็สั่นด้วยความสงสัยลังเลไม่กล้าเดิน

มันไม่กล้าเดินไปตามครรลองของศีลและมรรค ละล้าละลัง ถอยหน้าถอยหลัง ...เหล่านี้พวกเราจะต้องเผชิญกับมันให้ได้ ฆ่ามันให้ได้ ด้วยความบากบั่นไม่ท้อถอย ด้วยศรัทธาความเพียร

อยู่ในโลกก็อยู่แบบเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ...มันจะเข้าชื่อประท้วงอะไรกัน เรียกให้ไปใส่ชื่อประท้วง กูก็ไม่ไป เพราะกูกำลังทำหน้าที่ประท้วงกิเลสกูเองอยู่

ถ้าใส่ชื่อลงชื่อว่าประท้วงกิเลสตัวเองน่ะ...เอาเลย ทำอยู่ภายใน ...ใครจะชวนไปนั่นไปนี่ อย่างนั้นอย่างนี้  ว่าเพื่อรักษาชาติบ้านเมือง ...กูไม่รักษา กูจะทำลายภพชาติของกู

อย่าว่าแต่รักษาชาติบ้านเมืองแล้วให้กูมีภพชาติอยู่ในประเทศใดเลย ...กูไม่รักษา กูจะทำลายภพชาติ  ไม่ให้จิตออกไปสร้างภพ ไม่ให้จิตออกไปสร้างชาติ เพื่อเป็นที่หมายที่มั่นแห่งการเกิดในเบื้องหน้าเบื้องหลังต่อไป

ใครจะอยากสร้างชาติ คงชาติให้อยู่ จะได้มาเกิดต่อไป ...มึงก็เกิดไป กูไม่มาเกิดกับมึง กูจะไม่มาร่วมหัวจมท้ายกับมึง ....นี่ ต้องแยกโลกออก ต้องแยกออกมาจากโลกแล้ว

เหล่านี้คือปากเหยี่ยวปากกา ที่พาให้เกิดความละล้าละลัง พาให้เกิดความแบ่งแยกกลุ่มพวก แล้วก็จะรู้สึกว่าถ้าไม่ทำตาม ถ้าไม่เป็นไปแบบนั้น...แล้วจะโดดเดี่ยว

ก็ต้องการความโดดเดี่ยวน่ะ ต้องการให้จิตมันโดดเดี่ยว ต้องการให้กายนี่เป็นเอก เป็นอิสระจากหลายกาย...ทั้งข้างหน้า ข้างหลัง กายตรงนู้น กายตรงนี้ และกายคนอื่น

มันจึงจะเห็นเนื้อแท้ ธรรมแท้ กายแท้ กายจริง กายมหาภูตรูป กายที่เป็นสักว่ากาย...หาเรามิได้ในเสี้ยวหนึ่งอณูหนึ่ง ในการปรากฏขึ้นแม้เสี้ยวหนึ่งอณูหนึ่ง

ต้องมุ่งมั่นอยู่อย่างนี้...ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ตั้งแต่ค่ำจรดเช้า ก็มุ่งมั่นอยู่อย่างนี้ เกิดความมุ่งมั่นอยู่อย่างนี้ ภายในอยู่อย่างนี้ ...เรียกว่าเป็นการดำเนิน เรียกว่าเป็นการทำงานในองค์มรรค

ภายนอกก็ทำไปอย่างนั้นแหละ เลี้ยงชีพไป ไม่เอาดีเอารวย ไม่เอาคุณเอาชอบ ไม่เอาขีดไม่เอาขั้นอะไร เดี๋ยวก็ตายแล้ว  ทำพออาศัยมันไป มีเงินเดือนกินไป ไม่ไปเป็นขอทานข้างถนนก็พอแล้ว

ไม่ต้องไปเอาดีเอาเลิศกับอย่างอื่น ...จะเอาดีเอาเลิศที่นี้...ว่ากายเป็นอะไร  จะได้ไม่ต้องกลับมาทำงานอีก ...โคตรน่าเบื่อเลย เรียนมาตั้งเยอะ พอตายลืมหมด เกิดใหม่ต้องเรียนใหม่ 

ตัวหนังสือยังจำไม่ได้เลย ใช่ป่าว เกิดกี่ภพกี่ชาติ ก็ต้องมาเรียน...เริ่มต้น ...ทำไมต้องมาเรียน ก.ไก่ ...ก็มึงลืมน่ะ ...ดันตายทำไม ตายปุ๊บลืมปั๊บ เกิดใหม่เรียนใหม่

เนี่ย มันความซ้ำซากนะ แล้วจะไปดิ้นรนขวนขวายอะไร ...มีเงินร้อยล้านพันล้าน ตายปุ๊บทิ้งปั๊บ  เกิดใหม่...ก็หาใหม่อีก ก็จนใหม่...มาแต่ตัว นี่ 

จะไปขวนขวายอะไรกับมัน จริงจังอะไรกับมัน เดี๋ยวก็หมดแล้ว ...นี่ ยืมเขาใช้ๆ  มันเป็นสมบัติที่ผลัดกันชม 

เงินเหรอ...พอมาอยู่ในมือเราก็ว่าของเรา พอไปอยู่ในมือเขาก็ว่าของเขา ...มันของใครล่ะ ...แล้วแต่ว่าใครจะถือ มันก็เป็นสมบัติที่เปลี่ยนไปมา ...อย่าไปจริงจังอะไรอย่างนี้ 

ไอ้นี่ที่ควรจริงจังมั่นหมายนี่คือ...อะไรเป็นกาย อะไรเป็นรู้ ...อะไรเป็นกายจริง อะไรเป็นกายเท็จ 

อะไรเป็นกายหลอก อะไรเป็นกายปลอมปน อะไรเป็นกายสังเคราะห์ขึ้นมาด้วยอำนาจของกิเลส และอะไรเป็นกายที่สังเคราะห์มาด้วยอำนาจของกรรมและวิบาก...มหาภูตรูป ๔ 

นี่ ก็แยกแยะมันทั้งวี่ทั้งวัน ตลอดวี่ตลอดวัน ทุกเวลานาที ไม่ว่างไม่เว้น ไม่ขาดหาย ...เดี๋ยวมันก็แจ้ง มันแจ้งกาย 

พอมันแจ้งกายแล้ว อะไรๆ มันก็ง่าย ...พอมันไม่มี "กายเรา" แล้ว อะไรๆ มันก็ง่าย ...มันไม่มีกายเรา มันก็ไม่มีเรื่องอะไรเป็นของเราแล้ว อะไรมันก็ง่าย 

อะไรที่เคยเป็นทุกข์ของเรา ก็ไม่เป็นทุกข์ของเรา...ก็เป็นทุกข์ของโลก ...อะไรที่เคยเป็นทุกข์ของเราก็ไม่เป็นทุกข์ของเรา เป็นทุกข์ของขันธ์ ...มันก็ง่าย

แต่ตอนนี้ทุกอย่างน่ะเป็นทุกข์ของเราหมดเลย ไม่เว้นแม้กระทั่งขันธ์ ...แล้วอะไรที่ออกนอกขันธ์น่ะอย่าให้รู้นะ...ทุกข์หมดน่ะ เป็นเรื่องของเราหมด ...ถ้าเป็น “เรา” ไปแตะไปต้องตรงไหน...ทุกข์หมดน่ะ

เพราะนั้นพอหมดเรื่องของกายเราตัวเรา ไม่มีเราในกายนี่ อะไรๆ มันง่ายหมด ...ทุกข์ของเรา ทุกข์ที่เนื่องด้วยเรา ทุกข์เพราะมีเราไปรับ ...มันผิดกันไปคนละฝาคนละขั้ว เรียกว่าพลิกมือกับตีนคนละด้านกันเลย

ตรงนั้นน่ะมันถึงจะรู้เลยด้วยตัวของมันเอง...ว่ามรรคผลมีจริง ผลของการปฏิบัติในองค์มรรคมีผลจริง...แบบไม่สามารถจะเข้าไปปรามาสในองค์มรรคได้เลย

นี่ ไม่สามารถจะเข้าไปปรามาสศีลสมาธิปัญญาได้เลย ไม่สามารถที่จะไปทำกล่าวล่วงเกินศีลสมาธิปัญญา คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้เลย

นี่แหละการภาวนาซ้ำซากอยู่ที่เดียว ...ถ้ายังมีกาย ต้องมีกายกับรู้  ถ้าหมดกายแล้วก็มีรู้...อยู่ที่รู้ ...แต่ถ้ายังไม่หมดกาย จะไปอยู่ที่รู้ไม่ได้ ...มันข้ามขั้น

จนกว่ามันจะเห็นแจ้งแทงตลอดในกาย จนไม่มีกายให้เป็นเครื่องระลึกรู้ จนไม่เห็นว่ากายเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นกายอีกต่อไปแล้วนี่ มันถึงจะถอยถอนกลับมาอยู่ที่ใจที่เดียว 

นั่น รวมจิตเป็นหนึ่ง รวมใจเป็นหนึ่ง ไม่ใส่ใจใยดีกับสรรพสิ่งแล้ว

เอ้า นี่แหละเท่านี้ ...ตั้งแต่บรรทัดฐานจนถึงที่สุดของเส้นทางในองค์มรรค ...คือถ้าสอนมากกว่านี้ มันก็ท่าจะเกินนิพพาน (หัวเราะ) เพราะมันสุดแค่นี้แล้ว ก็เลยต้องหยุดสอน

เพราะถ้าสอนต่อมันก็จะเกินนิพพาน เพราะว่าเกินนิพพานมันไม่มี มันไม่มีคำสอน ...มันมาสุดแค่ตรงนี้ ก็เลยต้องเอวังที่นิพพาน เพราะสอนเกินนิพพานไม่ได้ ไม่มีอะไรให้สอนแล้ว


โยม –  เหมือนกับไม่ค่อยรู้เรื่องของโลกเขา สังคมของการปฏิบัติ มันหลากหลายมากค่ะ

พระอาจารย์ –  เออน่ะ โง่ ไม่รู้อะไรหรอก ...รู้ว่ายืนเดินนั่งนอน รู้อยู่กับตัว รู้อยู่กับขันธ์ รู้อยู่แค่นี้...ไม่ต้องไปสนใจอะไร

ความจริงมันก็ค่อยๆ เปิดเผย กระจ่างอยู่ในตัวขันธ์ของมันเอง อะไรเป็นอะไร ที่มาที่ไป ที่เกิดที่ดับ การเกิดการดับ 

สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรหรอก ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ ในขันธ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นส่วนของกิเลส ไม่ว่าเป็นส่วนของนาม ในส่วนของโลก ไม่มีอะไรเกินกว่าการเกิดดับ

ทุกอย่างมันก็จบลงตรงนั้น มันก็จบอยู่ในตัวของมันเอง ไม่ต้องไปทำความจบอะไร ...จนมันไม่สงสัยในอาการของขันธ์ทั้งปวง ไม่ว่าอะไร


(ต่อแทร็ก 12/28  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น