วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 12/8


พระอาจารย์
12/8 (560822B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 สิงหาคม 2556


พระอาจารย์ –  ถูกด่าซะบ้าง ...ให้มันโดนด่าซะบ้าง ให้ถูกตำหนิซะบ้าง ...โดยไม่ใช่ตำหนิเพราะไปทำเลวนะ ตำหนิเพราะรักษาใจรักษากาย 

แล้วเข้าใจมั้ยว่า...อาจจะดูเหมือนงานภายนอกมันบกพร่อง ขาดตกบกพร่อง ตามประสาโลก  ไม่เหมือนคนในโลกเขาทำกัน ...ก็ไม่เป็นไรน่ะ  มันจะได้ถากเอาเนื้อตัว “เรา” ออกซะบ้าง 

ก็เหมือนกับขวาน เหมือนกับมีดน่ะ ...จะได้ถากหน้าถากตา ถากผิวพรรณ..."ของเรา" ออกซะบ้าง ...ไม่งั้นน่ะ มันจะพอกพูนความเป็นตัวเราที่จะหวงแหนความดี ตัวเราที่ต้องได้รับแต่คำชม

เพราะนั้นเวลาถูกตำหนินี่  มันจะได้รู้ว่า...เอ้ย เรายังถือดี ยังถือตัวอยู่ ...มีความถือตัวอยู่ ยังไม่ยอมรับคำด่า จะรับแต่คำชม...ไม่ยอมรับคำด่า ...มันก็มีความรู้สึกหงุดหงิด ขุ่นมัว

เพราะนั้น “เรา” ทั้งนั้นแหละ ...ก็ให้เห็นว่ายังมี “เรา” อยู่นะ ...ให้เห็น ...แล้วก็ไม่ได้อยู่เพื่อให้ใครชมหรือใครด่า แต่อยู่โดยธรรม ตามธรรม เอาธรรมเป็นหลักเป็นใหญ่

แต่คราวนี้ว่า ที่มันไม่เหมือนคนในโลก ...หมายความว่า มันอาจจะผิดวิสัยคนในโลกที่เขาจะต้องมี...ลักษณะของคนดี คนที่จะต้องถูกชม จะต้องอย่างนี้ๆ 

มันมีมาตรฐานอยู่ เขาเรียกธรรมเนียมโลก เข้าใจมั้ย  ธรรมเนียมของผู้ดี คนดีนี่ หรือคนที่เอาใจใส่ต่อหน้าที่งานการอะไรอย่างนี้ ...มันเป็นอย่างนั้น

แต่ถ้าดูนะ...ดูในสมัยหลวงปู่มั่น เอาหลวงปู่มั่นเป็นหลัก  ท่านไม่เคยอยู่สร้างวัด ไปนี้ อยู่ตามเพิง หรือว่าที่ไหนที่ท่านจำพรรษาเขาจะสร้างกระต๊อบซึ่งเป็นศาลามุงจากมุงฟาก เสร็จแล้วท่านไม่ได้สร้างอะไรเป็นงานหลักเลย ท่านแค่พอให้อยู่อาศัยเท่านั้นเอง

แต่ว่างานส่วนใหญ่ของท่านน่ะเป็นงานภายใน เป็นงานภายใน  ท่านไม่ได้มาสร้างงานภายนอกเป็นหลัก  ถ้าเอาวิสัยครูบาอาจารย์หรือว่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างหรือว่าเอาเป็นแบบอย่างนี่ ...ภาวนานี่เป็นหลักของพระ

แต่เดี๋ยวนี้เราได้ยินพวกญาติโยมเขาพูดว่า งานหลักของพระคือก่อสร้างวัด งานอดิเรกของพระคือภาวนา มันเป็นอย่างนี้แหละ เข้าใจมั้ย ...มันสลับ มันพลิก มันพลิกกันน่ะ

แล้วคราวนี้ว่าพอเรามาอยู่ในแวดวงสังคม หรือว่าความคิดความเห็น หรือว่าการกระทำของหมู่พระที่งานหลักคืออะไรตามประสา ...แล้วเราไม่เหมือนกับงานหลักตรงนั้น มันก็จะถูกตำหนิ

แต่เราจะเลือกมั้ยล่ะ จะเอาอะไรเป็นเยี่ยงอย่าง ...คราวนี้เราจะตั้งมั่นไหวมั้ย รู้ได้มั้ย ตั้งมั่นอยู่กับศีลสมาธิปัญญา เอาศีลสมาธิปัญญาเป็นหลักได้มั้ย ...หรือจะง่อนแง่นคลอนแคลน แล้วก็ไปฟุ้งซ่านกระจัดกระจายอยู่ในงานภายนอก

คือจริงๆ เราก็ไม่ได้ปฏิเสธงานภายนอกนะ เพราะงานภายนอกมันก็เป็นการสืบอายุพระศาสนาเหมือนกัน ...แต่ไม่ใช่เกินไป ...เกินขนาดไหน เกินขนาดลืมภาวนา หรือไม่เห็นความสำคัญของภาวนาเลย 

กลายเป็นนกแก้วนกขุนทองไป  กลายเป็นว่า...ดีไม่ดีหาว่าการภาวนาเป็นการขัดต่อหน้าที่การงานภายนอกไป ...ซึ่งจริงๆ น่ะ หน้าที่การงานน่ะ มันเป็นตัวขัดภาวนาด้วยซ้ำ เข้าใจมั้ย

แต่ว่าความเห็นนี่มันแก้กันยาก นิสัย ...เพราะนั้นเราก็เฉย เพราะเราเข้าใจ และเรายืนอยู่ในหลัก ถืออยู่ในหลักธรรมเข้าใจมั้ย ...และธรรมนี่แหละก็จะเป็นตัวที่คุ้มกะลาหัว เราเชื่ออานิสงส์ของศีลสมาธิปัญญา

แต่คราวนี้ว่ากำลังมันก็ต่างกันนะ เข้าใจมั้ย  สติสมาธิปัญญามันก็คนละระดับกัน  เพราะนั้นเราก็ต้อง เหมือนกับเข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม ...แต่อย่าไปหลิ่วจนลืมว่า คุณค่าของพระจริงๆ นี่ คืออะไร

ดูหลวงปู่มั่นนี่ ท่านไม่มีวัดเป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่มีวัดใหญ่โต ไม่ได้ไปอะไร ...แต่ลูกศิษย์ท่านนี่ พระอรหันต์เป็นร้อยเป็นพันนะ...ทำไมล่ะ เห็นมั้ย

เพราะนั้นเราอธิบายให้เข้าใจว่า ถ้ายืนหยัดอยู่ในหลักศีลสมาธิปัญญาแล้ว ทุกอย่างเป็นรองหมด ...แต่ไม่ได้หมายความว่าปฏิเสธเลยโดยสิ้นเชิง  ...อันนั้นก็เกินไป 

เข้าใจมั้ยว่า เพราะกระแสมันเป็นอย่างนี้  มันฝืนกันไม่ได้ ไปหักโค่นกันไม่ได้หรอก ...ถ้าหักโค่น ต้องไปอยู่คนเดียว เข้าใจมั้ย

เมื่อจะอยู่ในสังคมอย่างนี้ มันก็ต้องมี มันก็ต้องทำ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ แล้วก็จะต้องรับรู้รับเห็นแล้วก็ได้ยินได้ฟังอย่างนี้ ...ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ผิดเลย 

ก็อยู่ในฝูงกา มันจะเป็นหงส์ได้ยังไง เข้าใจมั้ย กาก็ "กาๆๆๆ" ไม่มี "เอ้กอี้เอ้กๆ" หรอก ก็เป็นอย่างนี้ ... เพราะนั้นเราก็จะได้ยินแต่ "กาๆๆๆ" ...ก็ไม่ผิด  

แล้วหนีก็ไม่ได้ แก้ก็ไม่ได้ ...ถ้ายิ่งไปคิดแก้คิดหนี คิดจะทำยังไง จะเปลี่ยนแปลงยังไง ...มันเปลี่ยนไม่ได้ ภายนอกเปลี่ยนไม่ได้ ... อย่าว่าแต่ภายนอกเปลี่ยนไม่ได้ แม้แต่ขันธ์ห้ามันยังเปลี่ยนไม่ได้เล้ย 

จะไปคิดเปลี่ยนภายนอกอะไร ...ถ้าเปลี่ยนได้ก็แก้ตายซะสิ  แก้แก่ แก้เจ็บ แก้ป่วยซะ ... มันแก้ไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ แต่ไอ้พวกเรานี่มันชอบคิดชอบแก้ ด้วยความคิดด้วยความเห็นว่า...น่าจะอย่างนั้นดีมั้ย น่าจะอย่างนี้ดีมั้ย

อย่างนี้เดี๋ยวอยู่ไม่ได้แล้ว  เพราะอะไร ...เพราะมันจะทานกระแสโลกไม่ได้ มันทานกระแสกิเลสที่มันไหลบ่าตอนนี้ไม่ได้ ...มันเป็นช่วงที่น้ำมันไหลบ่ามาเกือบถึงพื้นดินแล้ว 

สองพันห้าร้อยปีนี่ประมาณเกือบจะถึงหนึ่งในสามแล้ว...เพราะนั้นกำลังของน้ำนี่มันบ่ามาก ล้นมาก ...มันไม่ไหวหรอกที่จะไปสร้างเขื่อนกั้นหรือว่าเบนทางน้ำนี่

เราถึงบอกว่าวิธีแก้มีวิธีเดียว คือแก้ที่ภายใน ...ซึ่งมันก็ยากหน่อยแหละ เป็นธรรมดา ...ก็ดันมาเกิดตอนนี้ ใช่มั้ย มาเกิดในยุคที่กิเลสมันไหลบ่า

แม้แต่ศาสนาก็บ่าเข้ามาถึงท่วมทับท้นศีลสมาธิปัญญาแล้ว มันไม่ใช่บ่าแต่กิเลสท่วมกิเลส หรือว่าพอกพูนกิเลส ...มันล้นเข้ามาจนถึงท่วมทับศีลสมาธิปัญญาในหมู่สงฆ์แล้ว ในหมู่ผู้ปฏิบัติแล้ว

การเห็นความสำคัญของศีลสมาธิปัญญา มันผิดพลาดคลาดเคลื่อนและให้ความสำคัญน้อยลงไปทุกที  ...กลับไปให้ความสำคัญกับอะไรที่มันนอกจากศีลสมาธิปัญญาที่เป็นตัวศีลสมาธิปัญญาที่แท้จริง 

เช่นข้อวัตร เช่นกิจวัด เช่นการงานในวัด นี่ อะไรพวกนี้  ...การพูด การคุย การสังสรรค์ การสังคม ลองไปดูสิ พระนี่ ลองไม่พูดสัก ๑๐ วัน เขาก็จะบอกว่าไอ้นี่เป็นตัวประหลาด เร่งความเพียรเกินไปรึเปล่า 

นี่ จะโดนนะ ...จะโดนเหมือนกับตั้งข้อหาขึ้นมาแล้ว ... แล้วยังไง ...ไอ้พวกเราก็ชักตะหงิดๆ ตะขิดตะขวงใจ ...จนต้องกลืน กลมกลืนไปกับเขา 

เห็นไหมว่าอำนาจของกิเลส อำนาจของกระแสนี่ มันทำให้ไขว้เขวในศีลสมาธิปัญญา ...ซึ่งจริงๆ มันตั้งหลักตั้งตนดีแล้ว  แต่เขามา "กาๆๆๆ" กัน แล้วจะมาทำตัวเป็นหงส์รึไง อย่างเนี้ย

แต่ถ้ายืนหยัดตั้งมั่นจริงๆ ไม่ฟังเสียงนกเสียงกา เข้าใจมั้ย ...เออ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ก็ทำหน้าที่ของพระไป หน้าที่ของพระคือภาวนา...จำไว้เลย หน้าที่ของพระคือทำสติ ทำศีลให้มากขึ้น บริบูรณ์ขึ้น ไม่ขาดตกบกพร่อง

ไอ้หน้าที่การงานภายนอกอาจจะขาดตกบกพร่องไปบ้าง ด้วยความพลั้งเผลอ หรือด้วยความที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์  มันไม่เสียหาย... อย่าไปฝากเป็นฝากตายอยู่กับงานตรงนั้น  ถูกด่าซะบ้าง ไม่เป็นไร

แต่ตรงนี้ เราจะด่า จะถูกเราด่า...ที่ไม่มีศีล ไม่มีสติ  ไอ้ตรงนี้จะโดนเราด่า ว่ามันจะมาบวชทำไม ...ถ้าไม่รักษาสติ จะมาบวชทำไม ... เพราะนี่เป็นเครื่องหมาย นี่ กาสาวพัสตร์นี่ เป็นเครื่องหมายว่า นี่ ห่มด้วยศีลสมาธิปัญญานะ

เตือนนะ ...เป็นเครื่องเตือนนะว่าอยู่ด้วยศีลสมาธิปัญญานะ เป็นเครื่องเตือนนะผ้ากาสาวพัสตร์นี่  ...ไม่ได้แต่งสีสันวรรณะขาวแดงดำ ไอ้นั่นมันคนโลกไม่ได้เป็นเครื่องเตือนจิตเตือนใจ 

แต่สีกาสาวพัสตร์นี่ เป็นเครื่องห่ม นุ่งห่ม ห่มกายห่มใจ เครื่องเตือนกายเตือนใจว่า...จะต้องห่มด้วยความระวังรักษาศีล...สติ...ตลอดขันธ์ตลอดกายนี้

นี่ ถ้ามันเตือนอยู่อย่างนี้ ... จะได้รู้ว่าพระ แล้วก็ความเป็นพระที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร ต้องเป็นอย่างไร  แล้วที่สุดของการเป็นพระที่แท้จริงแล้วนี่ ภายในจะเป็นอย่างไร ...คือบริบูรณ์ด้วยศีลสมาธิปัญญา

คำว่า “พระ” นี่ คือผู้ที่บริบูรณ์ด้วยศีลสมาธิปัญญา เต็ม เปี่ยม ล้น ...เหมือนชาที่เต็มถ้วย ล้นหมดน่ะ แม้แต่หยด-สองหยดก็ล้น เต็มอยู่ตลอด ไม่บกพร่อง ไม่ด่างพร้อย ในศีลสติสมาธิปัญญา

แล้วถ้ายังไม่ได้ ...ก็อยู่ด้วยความเพียรพยายาม ที่จะไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ...ภายนอกการกระทำอาจจะผิด อาจจะโดนคำตำหนิติชม ...ไม่เท่าไหร่หรอก ไม่ตายหรอก ...แต่ไม่มีศีลสมาธิปัญญานี่ตาย-เกิดนะ เกิดตาย-ตายเกิดนะ

เราถึงบอกว่าไอ้โดนด่าโดนว่านี่ มันก็เดี๋ยวตายแล้วก็หายกันแล้ว ลืมกันแล้ว ...แต่ขาดศีลสมาธิปัญญานี่เกิดตายไม่จบไม่สิ้น แก้ไม่ได้นะ หนีไม่พ้นนะ ออกไม่ขาดจากมันนะ

ตรงนี้สำคัญกว่านะ ...ไม่งั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่พูดหรอกว่าศีลสมาธิปัญญาเป็นของประเสริฐ เป็นของเลิศ ท่านบอกว่าเป็นรัตนะ เป็นเหมือนแก้ว เป็นของที่หาได้ยากยิ่งในกาลสมัยหนึ่งของอนันตาจักรวาล อนันตภพนี่

การจะปรากฏขึ้นของศีลสมาธิปัญญานี่ เป็นของที่หาได้ยากยิ่ง กาลเวลายากยิ่ง ...เหมือนกับตะเกียงน่ะ ที่จุดขึ้นท่ามกลางความมืดมิด แล้วไส้ตะเกียงนี่ หรือไส้แสงเทียนนี่ มันกำลังมอดจนจะหมด 

แล้วก็มืดตึ้บ หายไปในความมืดมิด ...แล้วอีกไม่รู้เท่าไหร่ ถ้านับโดยสมมุติเวลา  จึงจะมีเทียนนี่ส่องแสงจุดสว่างขึ้นมา แสดงความหมายของศีลสติสมาธิปัญญา...มรรค ขึ้นมาอีก

เพราะนั้นการที่มาเกิด แล้วมาได้ยินได้เห็น มาได้ลิ้มรสลองทำปฏิบัติในองค์ศีลสมาธิปัญญาแล้ว มันถือว่าเป็นของที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ... แต่กลับไปเห็นการทำอะไรก็ไม่รู้เป็นมงคลกว่าศีลสมาธิปัญญา 

นี่ถ้ามองโดยรวมนะ กลับเห็นว่าการได้โกรธคน การได้ว่ากล่าวคน การได้รัก ได้ชอบ ได้เกลียด ได้ทำอะไรที่ดั่งใจ ไม่ดั่งใจ มีค่าสำคัญกว่า

มันจะมีค่ากว่าได้ยังไง ...เพราะตาย-เกิดๆ นี่ เดี๋ยวมันก็เกิดมาทำใหม่อีก ใช่มั้ย ... ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้อารมณ์เหล่านี้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ถูก จะไม่ได้รับคำชม หรือไม่ได้รับคำยกย่องสรรเสริญ หรือว่าไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม

เดี๋ยวก็ได้เกิดมาใหม่ เจอกันอีก ...แต่จะไม่เจอศีลสมาธิปัญญาอีกนานแสนนานนะ ... แล้วกลับปล่อยให้ช่วงเวลานี้ กลับว่าเป็นเรื่องรอง เป็นเรื่องหลัง เป็นเรื่องไว้ก่อน เป็นเรื่องที่รอได้

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า....วันคืนล่วงผ่าน เธอทำอะไรอยู่ ...ท่านถึงบอกว่า ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ  ...ต้องนะ ต้องอย่างยิ่งยวดเลยนะ  

เพราะว่าการเกิดการตายนี่ มันไม่จบไม่สิ้น ...แต่ศีลสมาธิปัญญานี่ ถึงแม้จะเป็นโดยสัจจะที่ไม่มีคำว่าสูญหายหรือถูกลบล้างได้ก็ตาม  แต่ความมืดมิดมันจะครอบงำ ปิด เมื่อหมดอายุพุทธศาสนา

เพราะนั้นอายุของพุทธะนี่ หรือว่าพุทธกาล หรือว่าอายุขัยของศาสนานี่  มันเหมือนกับเทียนน่ะ เล่มสั้นๆ ท่ามกลางความมืดมิดในอนันตาจักรวาล 

แล้วจักรวาลนี่มันไม่มีอายุ มันไม่มีคำว่าจบสิ้น ...แต่ว่าเทียน แสงสว่างนี่มันมีวันจบ มันมีวันดับ ดับแล้วก็จุดขึ้นใหม่ได้ ...แต่กว่าจะจุดขึ้นใหม่ได้นี่ ต้องรอให้มีพุทธะมาบังเกิดอีกครั้งนึง

นับกัปนะ...จากศาสนาสมณโคดมนี่  อีกเป็นกัปนะ อีกหลายนะ กว่าจะมีพระศรีอาริย์ขึ้นมา ...แล้วถ้ายิ่งหมดพระศรีอาริย์นี่ เขาเรียกว่าสุญญกัปนะ ...ไม่ต้องถามอายุเลย สุญญกัปนี่ 

แต่การเกิดการตายยังมีอยู่นะ สัตว์มนุษย์บุคคล ภพทั้งสามนี่ ยังมีอยู่ตลอด

แต่พวกเราจะหมดโอกาสแล้ว ...ไม่มี จะไม่มีอริยจิตอริยบุคคลในยุคนั้นเลย แม้แต่พระปัจเจก ...แต่ในระหว่างที่หมดจากสุญญกัปยังมีพระปัจเจก แล้วรอพระพุทธเจ้ามาตรัสนี่ ก็จะมีพระปัจเจกมาประปราย

แต่พระปัจเจกมาก็จำเพาะท่าน ได้แค่บุญ แต่ไม่ได้ธรรม ไม่ได้ฟังธรรม ...เพราะท่านจะไม่สอนศีลสมาธิปัญญาเลย ท่านรู้ของท่านเอง มา ถืออะไรมาทำบุญ ก็ได้บุญจากท่านไป

แต่จะไม่รู้ว่าปฏิบัติคืออะไร ศีลสมาธิปัญญาเป็นยังไง ...ท่านจะไม่พูด สอนไม่เป็น ไม่สอน ...แต่ก็มาเป็นความเย็นเหมือนกับหยดน้ำหนึ่งในจักรวาล เท่านั้นเอง ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า 

แล้วอีกตั้งหลายๆ กัปกว่าจะเกิดพระพุทธเจ้าวงศ์ใหม่ขึ้นมา

เพราะนั้นเวลาแห่งการภาวนานี่ ...ถึงบอกว่ามันแข่งกับเวลา...ที่กำลังหมด กำลังกลืนกินขันธ์อยู่ กำลังกลืนกินศาสนาอยู่ กำลังกลืนกินศีลสมาธิปัญญาอยู่

นี่คือเราอธิบายให้เห็นว่าความเสื่อม ความจางคลาย ความหมดอายุของศาสนา เป็นอย่างนี้ๆ  แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป  

แล้วก็จน...ใครเงียบใครอดข้าว ใครภาวนาแบบไม่พูดไม่จา ใครไม่ข้องแวะผู้คนนี่  เขาจะบอกไอ้คนนี้เป็นตัวประหลาดมากขึ้น ในยุคต่อๆ ไป ...เชื่อมั้ย โดยเฉพาะในหมู่สงฆ์เลย

เห็นมั้ย เดี๋ยวนี้เข้ามาถึงวัดป่าแล้ว ...เพราะนั้นที่รักษาธรรมเนียมของวัดป่าจริงๆ  ดูเหมือนต้องเข้าไปอยู่ในคุกกันเลย ห้ามออกเลยน่ะ แล้วก็อยู่ในแวดวงนั้นจริงๆ 

ครูบาอาจารย์น่ะ เช่น หลวงพ่อทุยอย่างนี้ หลวงพ่อจันทร์เรียนอย่างนี้ เห็นมั้ย คือท่านแสดงให้เห็นเลยว่า มันข้องไม่ได้เลยน่ะ มันจะต้องถูกจำกัดอยู่ในแวดวงนี้จริงๆ ถึงจะรักษาธรรมเนียมอย่างเข้มงวดจริงๆ

แต่ถ้าออก...ปล่อยให้เป็นตามกระแสนี่ วัดป่าก็ค่อยๆ กลืนไปกับธรรมเนียมโลกหรือว่าศาสนสถาน ศาสนวัตถุ  แล้วก็เริ่มจางคลายจากการเข้มงวดกวดขันในการปฏิบัติในองค์มรรค 

ศีลสมาธิปัญญาก็มีค่าน้อยลงไปทุกที ... คือเรามองภาพโดยรวมเป็นอย่างนี้ 

(ต่อแทร็ก 12/9)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น