วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 12/6



พระอาจารย์
12/6 (560814)
14 สิงหาคม 2556


พระอาจารย์ –  ไม่ยอมละ ในสภาพที่แท้จริงของขันธ์ที่มันกำลังตาย  ก็เรียกว่าตายไปด้วยความคั่งแค้น ตายไปด้วยความติดข้อง ติดคา ขัดอยู่ในขันธ์นี่ว่า “ทำไมมันไม่ได้ดั่งใจเราวะ” ...แล้วก็ตายไปพร้อมกับ “เรา”

เมื่อมันยังคั่งค้างอยู่ในความเป็นขันธ์ของเราอยู่อย่างนี้...เกิดแน่ๆ ...มันก็จะไปรวมเอาดินน้ำไฟลมมารวม เอาสสารพลังงานมารวมกันใหม่ ตามอำนาจของกรรม ...นี่ก็เป็นกรรมและวิบากที่มันจะก่อรวมสร้างขันธ์ขึ้นมา

คราวนี้ ทีนี้มันจะรวมเป็นชายเป็นหญิง ยังไม่รู้เลย ... เพราะมันไม่ได้เนื่องด้วยความอยาก-ความไม่อยากเกิดของเราอย่างเดียวนะ  มันเนื่องด้วยกรรมและวิบาก มันเนื่องด้วยกุศล-อกุศลอีก

หรือมันจะรวมเป็นหมา หรือมันจะรวมเป็นนก ไก่ หมู กา สัตว์เลื้อยคลาน หรือรวมเป็นเทพเทวดา อินทร์ พรหม  มันแล้วแต่นะ ...คราวนี้กรรมวิบากมันเริ่มเข้าไปมีส่วนเป็นองค์ประกอบในการเกิดแล้ว ไม่ใช่แค่ความอยากเกิดด้วยความไม่รู้ของเราถ่ายเดียวนะ

ไม่ใช่ว่าตายจากคนแล้วเกิดเป็นคน ไม่ใช่ว่าตายจากผู้หญิงแล้วเกิดมาเป็นผู้หญิงคนเดิม...ไม่ใช่  มันมีอีกหลายปัจจัย หลายปัจจยาการที่มันเนื่องด้วยการกระทำ ที่มันทำไปด้วยความไม่รู้ตัว ทำไปด้วยความจงใจและเจตนา  

เหล่านี้มันเป็นตัวหล่อหลอมขันธ์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ...ก็รอรับได้เลย  ซึ่งไม่รู้จะรับอะไร

ถึงบอกว่า...เมื่อใดที่ออกจากมรรค เมื่อใดที่ออกจากศีลสมาธิปัญญา เมื่อใดที่ไม่อยู่ในศีลสมาธิปัญญา ...ไม่ปลอดภัย  เพราะมันเป็นเส้นทางหายนะ  

แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า ศีลสมาธิปัญญาหรือมรรคนี่ เป็นเส้นทางอันประเสริฐทางเดียว เป็นทางที่ประเสริฐ...มีทางเดียว ... ถ้าออกนอกทางนี้ ท่านเรียกว่าไม่ประเสริฐ เป็นหายนะ 

คือมันจะเกิดภาวะที่หาความแน่นอนไม่ได้ แล้วเป็นภาวะที่ไม่จบและสิ้น แล้วเป็นภาวะที่มีแต่ทุกข์กับทุกข์ ...มีแต่ทุกข์ที่เกิด กับทุกข์ที่ตั้ง แล้วก็มีแต่ทุกข์ที่ดับเท่านั้น

พระพุทธเจ้าบอกว่า ทางที่นอกจากมรรคนี้แล้วนี่ เป็นทางหายนะ เป็นทางแห่งความวิบัติ 

ไม่ใช่ว่าล่มจมอะไรหรอก ...แต่วิบัติเพราะอะไร เพราะมันเกิดภาวะที่...ไม่มีคำว่าออกจากมันได้ ซึ่งจะไปจมปลักอยู่ในกองทุกข์ก้อนทุกข์นั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ

เตือนตัวเองไว้...อย่าลืมเนื้อลืมตัว  ไม่งั้นเราจะเดินอยู่บนเหว ใต้เหว หรือว่าทางลงเหว

แต่ถ้าเดินในมรรคนี่ มันเดินอยู่บนไหล่เขา ที่มันจะเริ่มเดินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนถึงยอดเขา ...ไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเข้าใจ ในระหว่างเดินท่ามกลาง...รักษามัชฌิมาปฏิปทาไว้ 

รักษาการรู้เนื้อรู้ตัวไว้ เรียกว่ารักษามรรค รักษามัชฌิมาปฏิปทา ...ปัญญามันจะเกิดตอนที่อยู่ในมัชฌิมาปฏิปทานี้เอง ไม่ต้องไปหาปัญญาที่อื่นเลย มันจะเกิดความรู้ความเข้าใจในกองขันธ์ด้วยตัวของมันเอง 

ก็ทำไมล่ะ ก็จิตกูใจกู ใจรู้จิตรู้กูยังไม่ได้ออกไปรู้ที่อื่นเลย ...มันก็รู้เห็นแต่อะไร มันก็รู้เห็นแต่ก้อนกองนี้เท่านั้น  มันรู้เห็นซ้ำซากๆ วนเวียนซ้ำซาก ...ก็เข้าใจแล้ว ว่ามันคืออะไร ...นี่มันเข้าใจด้วยตัวของมันเอง

เพราะนั้นไอ้ตัวที่เข้าใจด้วยตัวของมันเองนี่  ความรู้นี่ท่านเรียกว่าเป็น...ปัจจัตตัง  มันเป็นความรู้จำเพาะใจดวงนั้นเท่านั้น 

ไม่ใช่รู้เพราะคิด ไม่ใช่รู้เพราะจำ ไม่ใช่รู้เพราะไปถามเขามา ไม่ใช่รู้เพราะว่าอ่านตำรา ...แต่มันรู้เพราะมันเห็นจนช่ำชอง มันรู้เพราะมันเห็นซ้ำซาก...ทุกแง่ทุกมุม

มันก็เข้าใจด้วยตัวของมันเองน่ะ ไม่ต้องมีใครไปบอกมันหรอก มันเห็นโดยที่ว่าไม่สงสัยแล้วว่าไอ้นี่คืออะไร นี่ มันเห็น ...แต่ว่าการเห็นน่ะมันจะต้องเห็นซ้ำๆ ซากๆ

ไอ้มนุษย์นี่มันขี้เบื่อ ขี้เบื่อ เพราะอะไรที่มันซ้ำซาก มันจะสร้างอารมณ์เบื่อ เซ็ง ไม่สนุก เพราะว่าจิต...การปรุงแต่งนี่ เหมือนมีฉาบทาด้วยสีสันนี่ มันมีรสชาติ ...เข้าใจคำว่ารสชาติมั้ย มันมีเวทนา

แล้วมันชอบรสชาติ เพราะมันคุ้นในรสชาติ เพราะมันติดใจในรสชาติ 

เพราะนั้นเวลาที่มันมาอยู่กับปกติปัจจุบันกาย ปกติขันธ์ ในปัจจุบันกายปัจจุบันขันธ์นี่ มันไม่มีรสชาติของความปรุงแต่ง มันจึงเป็นธรรมดา

เข้าใจคำว่าธรรมดามั้ย เข้าใจว่าปกติมั้ย  เพราะนั้นมันจึงไม่มีรสชาติก็คือ จืด เหมือนจืดๆ 

แต่มันเคยลิ้น เหมือนลิ้นมนุษย์นี่  มันเคยกินแต่อาหารที่มันมีรสชาติ ...เพราะนั้นเวลามันมากินอะไรจืดๆ มันรู้สึกไม่สะใจ ไม่ใช่ธรรม มันต้องมีสีสันมีอะไรอย่างนี้น่ะ

เพราะมันสร้างภาพธรรมไว้แล้วนี่ สร้างสภาวธรรมไว้แล้วว่า...ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ 

แต่พอมาเจอธรรมที่เรียกว่า ศีลที่เป็นธรรม สมาธิที่เป็นธรรม ปัญญาที่เป็นธรรมนี่...มันเป็นอะไรที่เป็นธรรมดา มันไม่มีรสชาติ เป็นอะไรกลางๆ ชืดๆ จืดสนิทเลยแหละ ...มันก็เบื่อ-เซ็งๆ  มันก็พยายามจะปรุงแต่งสีสันขึ้นมา

สมมุติว่า...อ่ะ เราเอาเนื้อมาก้อนนึงนี่ แล้วมาวางไว้บนที่ทำครัว ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันเลย แล้วก็ดูอาการของเนื้อนั่นที่กองไว้ เข้าใจมั้ย  ...เดี๋ยวมันก็คิดแล้ว “เอาเข้าตู้เย็นดีมั้ย กลัวมันเน่า” 

เพราะนั้นแค่คิดแล้วเอาเข้าตู้เย็นไปนี่ ...การทำอย่างนี้ นี่คือความปรุงแต่ง  การเข้าไปปรุงแต่งต่อเนื้อตามธรรมชาติ เข้าใจมั้ย

เนื้อมันจะเปลี่ยนสภาพไป แต่มันถูกควบคุมด้วยการปรุงแต่ง  อ่ะ หรือจะเถือแล้วเอาไปทอดเป็นชิ้นๆ ...นี้คือการปรุงแต่งกับเนื้อก้อนนี้ ทำให้เนื้อนี่เปลี่ยนสภาพ ผิดสภาพจากความเป็นจริง 

หรือเอาไปทอด หรือเอาไปอบ หรือเอาไปนึ่ง หรือเอาไปตากแดด หรือเอาไปแช่น้ำเกลือ ...เพื่ออะไร  เพื่อผลให้ได้เนื้อที่เป็นไปดั่งที่มันคาดและหมาย เข้าใจมั้ย

ทั้งหมดนี่ เนื้อที่ได้จากการคาดและหมายนี่ เป็นเนื้อที่เกิดขึ้นจากความปรุงแต่ง  ต้มก็รสชาตินึง ทอดก็รสชาตินึง ใส่พริกไทยปนเกลือปนอะไร ก็ได้อีกรสชาตินึง 

มันจะแต่งด้วยสีสันรสชาติได้ต่างๆ นานา ...แต่มันเป็นรสชาติที่ผิดจากสภาพของเนื้อดิบๆ

เพราะนั้นการภาวนาหรือการปฏิบัติในองค์ศีล การรักษาศีลนี่ ...เข้าใจคำว่าศีลบริสุทธิ์มั้ย การบริสุทธิ์กาย การบริสุทธิ์ศีล ...ก็คือการรู้กับกายที่เป็นเพียวๆ (pure)  ไม่ได้แตะต้องด้วยความคิดนึกปรุงแต่ง 

เราจึงจะเห็นความเป็นจริงของก้อนเนื้อนี้ ...ว่าเขาจะแสดงสภาพอย่างไร

ถ้าเป็นเนื้อที่กองไว้ มันก็จะค่อยๆ เน่าเปื่อยไปเองตามปกติ เรียกว่าปกติ ไม่ได้ผิดปกตินะ แล้วส่งกลิ่นเหม็นส่งกลิ่นอะไรก็เรียกว่าปกติ ...ไม่ได้ผิด ไม่ใช่ถูก แต่ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้

เพราะนั้นการที่เรากลับมาอยู่กับก้อนกายก้อนศีลด้วยสติที่เป็นกลาง ด้วยจิตที่เป็นหนึ่งตั้งมั่น ...ไม่ไปปรุงแต่ง ไม่ไปต่อเติม ไม่ไปเสริม ไม่ไปตัด ไม่ไปลด ไม่ไปเพิ่ม 

มันก็จะเข้าไปเห็นเนื้อธาตุเนื้อแท้ กายแท้ธรรมแท้ ที่เขาแสดงความเป็นจริงให้ปรากฏ

ตรงนี้มันจึงจะถอดถอนความเป็นตัวเรา ที่มันเคยเข้าไปปรุงแต่งสีสันไว้ ...ที่เกิดมาปั๊บ พ่อแม่สังคมหล่อหลอมเลย ภาษาบัญญัติให้ชื่อไว้เลย เธอต้องชื่อนี้ ต้องจำไว้เลยว่าชื่อนี้ คือเรียกชื่อปุ๊บหัน 

ไอ้ความรู้สึกเป็นเรามันมีอยู่แล้ว แล้วมันก็มาผสมกลมกลืนกับสมมุติภาษาบัญญัติเข้าไป ...ทีนี้มันก็เกิดความครอบงำเลย เข้าใจมั้ย มันมีการครอบงำเลย 

โดยธรรมชาติของโลก มันจะครอบงำ...ด้วยความคิดความเห็น  แล้วตัวของตัวเองก็พร้อมจะสร้างความคิดออกมาสนองรับในความเชื่อ ...เรียกว่าเป็นทิฏฐิมานะอยู่ภายใน

ท่านเรียกว่าเป็นมโนสัญเจตนา  มันจดจำได้ในชาติก่อนๆ มันก็สอดคล้องรับประสานกับปัจจุบัน  ความคิดความเห็นของคนภายนอกที่เขาสอนทารก ที่เรายังเป็นทารกแล้วค่อยๆ พัฒนาจดจำไว้ 

ทีนี้มันก็กลมกลืนกันไป จนปิดเนื้อแท้ธรรมแท้ ของเนื้อที่สมควรจะเป็นเนื้อดิบๆ

เพราะนั้นการที่เจริญศีลสติสมาธิปัญญา มันก็เหมือนกับค่อยๆ เข้าไปขัดเกลา ชะล้าง ...มันเข้าไปชะล้างสิ่งที่มันปิดบังห่อหุ้ม เนื้อแท้ธรรมแท้ของกาย ...จนมันเข้าถึงศีล 

เข้าใจคำว่าเข้าถึงศีลมั้ย ...ก็คือเข้าถึงความเป็นจริงของกายที่มันปรากฏอย่างนี้จริงๆ เท่านี้จริงๆ

เข้าถึงยังไม่พอ ต้องรักษา...ด้วยการที่ว่า ไม่ไปเอาธุลี มลทิน ความคิดนึกปรุงแต่ง ทั้งของตัวเอง ทั้งของคนอื่น เข้ามาห่อหุ้มมันอีก  

นี่ต้องระวังรักษา คอยชำระขัดเกลา ... สิ่งที่เอาออก อย่าเอาเข้า  สิ่งที่ไม่เข้ามาแล้ว อย่าเอาเข้ามาอีก ...นี่เขาเรียกว่าสัมมัปปธาน ๔

เข้าใจรึยังว่าสัมมัปปธาน ๔ เป็นองค์หนึ่งในโพธิปักขิยธรรม ...เพียรรักษากุศลให้เกิด เพียรระวังอกุศลไม่ให้เกิด เมื่อกุศลเกิดแล้ว รักษากุศลให้อยู่ เมื่อรักษากุศลให้อยู่แล้ว ทำกุศลนั้นให้มากขึ้น นี่คือลักษณะอย่างนี้

เมื่อเข้าไปถึงเนื้อแท้ธรรมแท้ของกายของศีลแล้ว อย่าประมาท ... เพราะอะไร เพราะสนิมเหมือนกับมลทินนี่มันพร้อมล่องลอยมาตกมาเกาะ ...แล้วตัวเองก็ปล่อยปละละเลย 

ความคิดความเห็นที่มีอยู่ข้างใน...มันก็มาจับมายึดไว้เหมือนเดิม คลุมไว้เหมือนเดิม ...ก็ยังเป็น "เรา" อยู่เหมือนเดิม ก็ยังเป็นตัวผู้ชายผู้หญิง ก็ยังเป็นสวย ก็ยังเป็นงาม ก็ยังเป็นไม่สวยไม่งามเหมือนเดิม ...เป็นความเชื่ออยู่อย่างนั้น 

ซึ่งความเป็นจริงแล้ว...เนื้อแท้ธรรมแท้ของกาย ไม่มีสวยไม่มีงาม ไม่มีชายไม่มีหญิง ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคล ไม่มีชีวิต ไม่มีไม่มีชีวิต ...มันเป็นอะไรก็ไม่รู้

นี่คือต้องพยายามรักษาตรงนี้ไว้ ...จนมันห่างไกล จนมันไม่สามารถเข้ามาผสมกลมกลืน ปกปิดครอบงำ ครอบคลุมได้ 

เนี่ย เขาเรียกว่าสว่าง กายนี้จะสว่างในตัวของมันเอง ความเป็นจริง...ไม่มีอะไรสามารถมาปกปิดได้ ...เรียกว่าวิสุทธิกาย เรียกว่าวิสุทธิศีลก็บังเกิดขึ้น

เพราะนั้นตัวที่จะเกิดวิสุทธิกายวิสุทธิศีลได้ คือต้องเป็นตัวที่วิสุทธิจิต ...คือใจต้องเป็นหนึ่งจริงๆ เป็นสมาธิที่เป็นมหาสมาธิจริงๆ 

ไม่แตกออก ไม่ไปดึง ไม่ไปคว้า ไม่ไปก่อ ไม่ไปจับ ไม่ไปสัญญา ไม่ไปสร้างสมมุติบัญญัติ ...มันจะเป็นหนึ่งรู้หนึ่งเห็นจริงๆ  มันก็จะเห็นสว่างชัดเลยในกายนี่ 

เหมือนกับนั่งมองก้อนเนื้อที่อยู่บนเขียง แบบไม่ได้แตะต้อง แล้วก็อยู่ในห้องที่มันว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่มาแปรสภาพมันด้วยตัวของมันได้เลยด้วยความจงใจและเจตนา ทั้งตัวเองและทั้งคนอื่น

ก็เห็นชัดเจนมากตามความเป็นจริง รู้เลย เข้าใจเลย ด้วยตัวของมันเองว่านี้คืออะไร 

ไอ้ที่ต้องทนอยู่กับมันเพราะอะไร แล้วที่ทนอยู่กับมัน ทำไมถึงเคยเป็นทุกข์กับมันอย่างยิ่ง  แล้วทำไมถึงตอนนี้ไม่เป็นทุกข์กับมันอย่างยิ่งเพราะอะไร ก็เข้าใจโดยที่ไม่ต้องไปถามใครเลย

มันตอบโจทย์ปรัศนีที่มันค้างข้องอยู่ภายในด้วยความชัดเจนชัดแจ้ง เรียกว่าสว่างกายสว่างใจ สว่างด้วยปัญญา สว่างด้วยญาณทัสสนะ ด้วยความรู้ความเห็นที่แท้จริง กับสิ่งที่มันปรากฏจริง

เพราะนั้นความสงสัยลังเลที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ ด้วยอำนาจของเรา ด้วยอำนาจของกิเลส สลายหมด ไม่สามารถมาบิดเบือนความเป็นจริง ไม่สามารถมาครอบงำความเป็นจริงนี้ได้อีกต่อไป

นี่ เรียกว่าหมดปัญหาเรื่องกาย ...แต่เรายังเรียกว่าแค่นี้ยังแค่หมดปัญหาเรื่องกาย ยังมีปัญหาเรื่องอื่นในขันธ์อีก ...เพราะกายไม่ใช่ขันธ์อย่างเดียว เพราะกายไม่ใช่ความหมายของขันธ์อย่างเดียว  

ขันธ์น่ะมันมี ๕ ... ยังเหลืออีก ๔ นี่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ยังมีอีก ...มันก็จะค่อยๆ เรียนรู้ในส่วนรายละเอียดไป ...ยังไม่เข้าใจตรงไหน ยังเข้าไปมีเราเป็นเราตรงไหนอีก 

แต่พอมันหมดความมีความเป็นในเรากับกายแล้วนี่ ทุกข์นี่หายไปเกินครึ่ง ...ทุกข์เพราหู ทุกข์เพราะตา ทุกข์เพราะจมูก ทุกข์เพราะลิ้น ทุกข์เพราะกาย นี่มันเกินครึ่งแล้ว มันไม่มีเราไปเป็นแล้ว

มันเหลือทุกข์ภายใน ส่วนละเอียด อยู่กับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ อยู่กับอดีต-อนาคต ที่มันหมายในอารมณ์นั้นอารมณ์นี้ อย่างนั้นอย่างนี้

แต่ไอ้ทุกข์พวกนั้นน่ะเขาเรียกว่าสบายมาก เข้าใจมั้ย ...ไอ้ทุกข์ใหญ่เลย ทุกข์โคตรๆ เลยนี่ คือทุกข์ที่เนื่องด้วยกาย แล้วก็สิ่งที่มันเนื่องด้วยกายภายใน-ภายนอก เข้าใจมั้ย

ตอนนี้ ที่เราทุกข์กันจะเป็นจะตายนี่ ...เพราะกาย กับกายคนอื่น กับการกระทำของกายคนอื่น กับคำพูดของกายคนอื่น แล้วทุกข์ ...หันซ้ายก็ติด หันหน้าก็ติด อยู่คนเดียวก็ติด 

ติดเพราะว่ายังมีความหมายมั่นในกายนี้เป็นเรา ตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดเดือน ตลอดทุกขณะทุกเวลา ...จึงเป็นทุกข์อันใหญ่อย่างยิ่งที่จะต้องก้าวข้ามด้วยปัญญาให้ได้

ก้าวข้ามด้วยการเอาความเป็นจริงของกายเข้าไปสอนมัน  เอาศีลน่ะสอน เอาสมาธิน่ะสอน เอาปัญญาน่ะสอนจิตผู้โง่เขลา คือจิตเรา 

จิตผู้โง่เขลานี่คือจิตเรา ...แต่ลึกๆ มันมีอหังการว่า จิตเราเก่ง ตัวเราเก่ง ตัวเรารู้ไปหมดเลย เรียนมาสูง รู้มามาก มีชีวิตมามาก มันเข้าใจว่าเรานี่ได้การเลยล่ะ

แต่กว่าที่มันจะยอม มันต้องยอมต่อศีลสมาธิปัญญาเท่านั้น มันไม่ยอมด้วยการบังคับ มันไม่ยอมด้วยการที่ว่าใครมาด่ามาว่า มันไม่ยอม ...กิเลสไม่ยอมอะไรเลย 

มันจะมีความเป็นมานะถือตัวในตัวของมันอย่างยิ่ง ในตัวเรานั่นแหละ ไม่ใช่ถืออะไรหรอก 

เพราะนั้น พอมันเอาศีลไปสอน สมาธิไปสอน กายคืออะไร ใจคืออะไร ...ใจก็แค่รู้ ไม่มีเราในรู้ ไม่มีรู้ในเรา กายก็คือกาย กายก็คือสักแต่ว่ากายก้อนหนึ่ง กองหนึ่ง 

ไม่มีเราในกาย ไม่มีกายในเรา  ไม่มีเราในใจ ไม่มีรู้ในเรา จบ...จบปัญหาเรื่องกาย แล้วจบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของความทุกข์ที่มีอยู่ทุกวันนี้ หายเป็นปลิดทิ้ง โดยปลิดทิ้งเลย

ที่นี้มันก็เหมือนกับเดินไป อยู่ในโลกนี่ แต่มันเหมือนเดินเหนือโลก คือเหนืออารมณ์ในโลก  มันเหนือการกระทำคำพูดของคนในโลก 

ลักษณะที่เหนือคือ อะไรเข้าหูซ้าย ออกหูขวา ...เหมือนกับมันไม่ได้มากระทบกำแพงหรือสิ่งที่เป็นตัวเราของเรา เข้าใจมั้ย มันก็ผ่าน...เหมือนอากาศธาตุ

แต่ตอนนี้อะไรมาปุ๊บ มันติด...ติดที่เรา ติดที่เราเห็นนะ ติดที่เราได้ยินนะ ติดที่เรารู้นะ นี่ มันยังมีอยู่อย่างนี้ เป็นเราอยู่อย่างนั้น 

อะไรผ่านมาทางหู ทางตา ทางจมูก ทางความคิดของตัวเอง ...ก็เรานะ ของเรานะ เหล่านี้ ...มันไม่ผ่าน มันไม่สามารถผ่านไปได้

แต่พอมันไม่มีตัวนี้ มันล้มพังพาบ  ความเป็นเราในขันธ์ในกาย มันพังพาบล้มไปปุ๊บ  ...สิ่งที่ผ่านหูผ่านตาผ่านจมูกผ่านกายนี่ เหมือนกับผ่านความว่างเปล่า 

นี่ ทุกข์ไม่เกิด มันก็ไม่มีปฏิกิริยา ...เข้าใจคำว่ามันก็ไม่เกิดทั้ง action  และ reaction

แต่ตอนนี้มันต้องมี reaction กับทุก action ...มากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่อุปนิสัยสันดาน  ใครเคยถืออะไรมาก ยึดอะไรมาก ก็จะมี reaction แรง ...แต่ละคนมีไม่เท่ากัน เพราะมันให้ค่าไม่เท่ากัน ของเราน่ะ

ก็เหมือนกับผู้หญิงมานั่ง แล้วผู้ชายห้าคนสิบคนมานั่งดู แล้วถามว่าสวยไหม  มันก็ตอบทั้ง สวย ไม่สวย   สิบคนนี่จะตอบไม่เหมือนกัน อยู่ที่มันให้ค่า เห็นมั้ย  ถามว่าสวยจริงๆ มันอยู่ตรงไหน ...ไม่รู้นะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าสวยจริงๆ คือตรงไหน

มันอยู่ที่ว่า เราจะชอบหรือไม่ชอบ เราจะชอบลักษณะทรวดทรงนี้หรือเปล่า แล้วใครชอบมากก็ว่าสวยมาก ใครชอบน้อยก็ว่าสวยน้อย ...ทั้งๆ ที่ถามจริงว่าสวยคือยังไง ก็ผู้หญิงหน้าเดิมนี่แหละ ความสวยไม่ได้อยู่ตรงนั้น ...มันอยู่ตรงนี้ ที่ชอบหรือไม่ชอบ

เข้าใจรึยังว่า ทุกข์มันอยู่ที่นี้ การให้ค่ามันอยู่ตรงนี้ ทุกอย่างมันมีค่าเท่าที่มันปรากฏซึ่งไม่มีความหมาย เข้าใจมั้ย ความสวย-ความไม่สวย มันก็คือหน้าตาที่มันล่อไว้อยู่ข้างหน้านี่แหละ ...มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันอยู่ตรงนี้

นี่ ถ้ามันมีปัญญาแล้วมันจะเห็นอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปลายเหตุ อะไรเป็นปลายเหตุที่ไม่ต้องไปยุ่งกับมันเลย ยิ่งยุ่งยิ่งวุ่น ยิ่งยุ่งยิ่งไม่จบ 

แต่ถ้ารู้ว่าเหตุอยู่ตรงนี้แล้ว ตรงนี้จบ ต่อให้มันสวยยิ่งกว่านางฟ้านางจักรวาล มันก็ปล่อยผ่านเลย เพราะมันไม่มีค่าอะไร ...ค่ามันจบตรงนี้แล้ว ... ตรงที่รู้นี่ ตรงที่เห็นนี่


…………………..


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น