วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 12/10



พระอาจารย์
12/10 (560922A)
22 กันยายน 2556


พระอาจารย์ –  เพราะนั้นการปฏิบัติจริงๆ นี่ ไม่ซับซ้อน ...อย่าซับซ้อน 

เราถึงพูดอยู่บ่อย พูดเสมอว่า...ปิดตำราให้หมด ...ให้มันเหลือแค่กาย  อย่าลืมกาย อย่าห่างกาย อย่าทิ้งกาย ...เอากายให้ชัดก่อน อย่างอื่นไม่ชัดช่างหัวมัน เอาไว้ทีหลัง 

กิเลสยังเท่าเก่า มากกว่าเก่า ช่างหัวมัน อย่าไปยุ่ง เอากายไว้ ...คือต้องเริ่มตรงจุดนี้แบบโง่ๆ ก่อน  พอกายมันเริ่มชัด เริ่มอยู่ เริ่มไม่ห่าง ไม่หายจากตัวของเจ้าของแล้วนี่ ...เดี๋ยวรู้จะชัดเอง 

ไอ้จิตที่มันมารู้กายเห็นกาย แล้วเกิดความชัดเจนในกาย ...ตัวมันก็จะแสดงความชัดเจนในตัวของมันขึ้นมาเอง ...ไอ้จิตที่เราแบ่งออกมาเป็นจิตหนึ่ง มันก็จะชัดเป็นดวงจิตผู้รู้ขึ้นมาเอง

พอมันชัดในลักษณะกาย มันชัดในลักษณะรู้แล้ว ...เดี๋ยวมันจะเกิดรากฐานของปัญญาเอง คือมันจะเกิดอาการเห็น เห็นทั้งสองสภาวะ ...ด้วยความเป็นกลาง 

แล้วจะรู้จักเองว่ากลางยังไง ...เมื่อใดที่มันเหลือแค่กายกับรู้ รู้กับกาย แล้วมันจะเข้าใจว่า เนี้ย กลาง

เพราะมันไม่มีความคิดเลย ความคิดมันเกิดขึ้นไม่ได้  เมื่อมีความคิดเมื่อไหร่...ไม่ตาม เมื่อมีความเห็นเมื่อไหร่...ไม่ตาม เมื่อมีอารมณ์...ไม่ตาม อย่างนั้นไว้ก่อน 

คือรักษาสมาธิให้ได้อย่างนั้นก่อน ...รักษาจิตหนึ่ง รักษากายหนึ่งไว้

ความเข้าใจในธรรมที่ปรากฏเบื้องหน้า...คือกาย ก็จะเริ่มลึกซึ้งขึ้น ลึกซึ้งขึ้น แยบคายขึ้น ...แยบคายในความที่กายเป็นก้อน กายเป็นเพียงธาตุ กายเป็นเพียงสิ่ง กายเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์หนึ่ง

อย่าไปค้น อย่าไปหมาย อย่าไปหาอะไรที่นอกเหนือจากนี้ รักษากายใจเป็นหนึ่งไว้คู่กัน แล้วให้ทุกอย่างมันเงียบลงไปเอง มันจะเงียบไป ให้มันเงียบไป ...แล้วก็โง่ไป มันจะไม่มีความรู้อะไรเลย

อย่าไปอยากรู้อะไร อย่าไปอยากได้อะไร อย่าไปอยากหาอะไร อย่าไปอยากสร้างอะไรขึ้นมาใหม่ ...แค่เนี้ย ต้องสร้างตรงนี้ให้มั่นคงจริงๆ  ไม่งั้นมันจะเป็นภาวนาสะเปะสะปะ เลอะเทอะ 

วิ่งไล่บ้าสภาวะจิต บ้าสภาวธรรม บ้าภูมิธรรม บ้าตำรา บ้าความเห็น ...แล้วก็เกิดอาการถกเถียงภายนอกภายใน  เจอหน้าก็เถียงกัน อยู่คนเดียวก็เถียงกับตัวเอง หาบทสรุปไม่เจอในธรรม

ฟุ้งซ่านหมดแหละ บอกให้เลย เป็นความฟุ้งในธรรม ...ยิ่งพูดมาก ยิ่งเถียงกันมาก ยิ่งมาปาฐกถาธรรมใส่กันมาก ยิ่งฟุ้ง

ก็ให้เงียบ เหมือนไอ้ใบ้อีใบ้ หูก็หนวก ตาก็บอด นี่เขาเรียกว่าสำรวมอินทรีย์ไว้ ...ถ้าไม่สำรวมอินทรีย์นี่ จิตยากที่จะรวมเป็นหนึ่ง มันพร้อมที่จะแตกตัวตลอด ...คือมีช่องได้ตรงไหนกูก็ลอด ขนาดไม่มีช่องกูก็ยังพยายามจะลอดเลย

แต่ถ้าเปิดช่องให้มันนะ ไปแบบสุดลิ่มทิ่มประตูเลย ...แล้วกว่าจะสำรวมจิต กว่าจะรวมจิตให้เป็นหนึ่ง กว่าจะตั้งฐานขึ้นมาใหม่นี่ ...ยากนะ 

เวลามันหลุดมันเล็ดลอดออกไป หรือเราไปให้ค่าให้ความหมาย หรือว่าให้กำลังกับมันด้วยเจตนาแล้วนี่  ทีนี้จะกลับมาสำรวมจิต กลับมาตั้งกายตั้งใจให้ได้ต่อเนื่องนี่ ...เหมือนกับเข็นครกขึ้นภูเขาเลย

แต่ถ้ารักษาจริงๆ ทำความเพียรแล้วรักษาไว้ แล้วก็สำรวมอินทรีย์ไว้ มันจะอยู่ตัวได้ง่าย มันจะรักษากายใจเป็นหนึ่งได้ต่อเนื่อง

ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเกรงใจคนรอบข้าง ไม่ต้องกลัวเขาโกรธ ...ไม่ต้องกลัวเขาไม่เข้าใจ แล้วจะต้องคอยไปตั้งท่าตั้งทางอธิบายว่า “หนู,ฉัน,ผม กำลังภาวนาอยู่นะ” 

รู้เข้าไว้ เอาตัวเองให้รอดก่อน เอากายใจตัวเองให้อยู่ รักษากายใจให้อยู่ในที่...ที่ปัจจุบัน ...จนกว่ามันจะไม่ล้มน่ะ ...เพราะส่วนมากมันล้มแล้วมันไม่ค่อยลุกน่ะ ล้มแล้วก็ล้มเลย นอนทอดหุ่ยเลย 

คือล้มแล้วยาวเลยน่ะ กว่าจะมาเริ่มลุกขึ้นใหม่แต่ละคนนี่...ดูเอา เป็นหลายวัน ดีไม่ดีหลายเดือนน่ะ กว่าจะเริ่มตั้งรู้ขึ้นมา ตั้งกายขึ้นมา เอาจริงเอาจัง ...คือตั้งแล้วยังไม่พอนะ กว่าจะเอาจริงเอาจังกับมันให้ได้เป็นช่วงเป็นขณะต่อเนื่อง 

ขี้เกียจ ...มันเกิดความขี้เกียจทับถมเลย เกิดความท้อแท้ เกิดความเสียดายความสนุกในโลก เสียดายความสนุกในการคิด เสียดายความสนุกในการพบปะพูดคุยกับผู้คน  มันเสียดายนะ เพราะมันเข้าไปคุ้นเคยมักคุ้นอยู่แล้ว

แต่ไม่เสียดายมรรคเลย ไม่เสียดายการตั้งรู้ตั้งเห็นเลย  แล้วกลับมองเห็นว่ายิ่งการตั้งรู้ตั้งเห็นนี่ มันกลายเป็นของยากไป ...ทีนี้มันก็ถอยห่าง ห่างๆๆ จากองค์มรรค ห่างจากการเจริญสติสมาธิปัญญาแล้ว

ผลของการที่ห่างจากศีลสติสมาธิปัญญา คืออะไร ...ก็เกิด-ตายไม่จบสิ้น หมุนวนอยู่วัฏฏสงสาร หมุนวนอยู่ในวัฏฏะจิต หมุนวนอยู่ในความไม่จริง นั่นแหละผล

แต่ว่ามันมีสุขฉาบทาแค่นั้นเอง แล้วก็ไปหมายสุขๆๆ ไว้ หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา ...จิตมันหลอกของมันเองอยู่ตลอดเวลา ว่าข้างหน้ามีความสุข ในความสุขนั้น ในความคิด ในอดีตอนาคตยังมีความสุขรออยู่ 

ตัวนี้เป็นตัวที่ปิดบังฉาบทา ...จนละเลย จนไม่ขวนขวายในองค์ศีลสติสมาธิปัญญา ...กว่าจะรู้ตัวก็สาย พอใกล้ตายแล้วก็เสียดาย ...เวลามีทุกข์ เวลาหาทางออกไม่ได้ ทุกข์แบบทับถมหัวนี่  คราวนี้วิ่งหาพระรดน้ำมนต์กันแล้ว...ก็แก้ไม่ได้  

ถึงแก้ได้หายได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการหรือกุศโลบายทำสังฆทาน สะเดาะเคราะห์ ...อ่ะ สมมุติมันหาย แล้วก็ลืม แล้วก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ปล่อยจิตเหมือนเดิม ...เดี๋ยวก็เกิดทุกข์ขึ้นมาทับถมต่อ 

ทีนี้ก็แก้ด้วยตัวเองก็ไม่ได้ แก้ไม่เป็น ไม่รู้จะแก้ยังไง ...ก็มันไม่มีปัญญา มันไม่ได้แก้ด้วยศีล มันไม่เคยฝึกแก้ด้วยศีลสติสมาธิปัญญา ...มันก็ต้องไปหาที่พึ่งอื่น 

รดน้ำหมากราดน้ำมนต์ เจิมให้เป็นมงคล หามงคล จากต้นตะเคียน จากศาลปู่ตา จากเจ้าพ่อเจ้าแม่อย่างเนี้ย ได้หมดน่ะ อะไรที่ว่าเป็นมงคลแล้วจะดี มันก็มาหาที่ประโลมใจประโลมจิตแค่นั้น เดี๋ยวก็ทุกข์อีกๆ 

มันยืนด้วยลำแข้งของตัวเองไม่ได้ มันแก้ไม่ได้ด้วยตัวเอง มันก็อาศัยไขว่คว้าควานค้นหาที่พึ่งภายนอกตลอด ...อะไรที่มันออกนอกกายใจนี่ มันเป็นช่องทางหลงหมด ช่องทางติดข้อง พระพุทธเจ้าถึงว่าเดรัจฉานกถา

คำว่าเดรัจฉานไม่ใช่อะไร ไม่ใช่ว่าเป็นคำด่าอะไร ...แต่ว่ามันเป็นเรื่องของสัตว์ เป็นวิสัยของสัตว์ หรือว่าเป็นความคุ้นเคยในอาการของสัตว์ ...มันก็จะไปอยู่ในเดรัจฉานกถา 

เพราะนั้นผลที่ได้...ก็กลับมาเป็นสัตว์เหมือนเดิมนั่นแหละ  มันไม่สามารถจะเป็นอริยะ ยกข้ามความเป็นสัตว์ มนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน หรือสัตว์ที่เรียกว่าเทวดาอินทร์พรหม นี่ก็เรียกว่าสัตว์นะ

จิตน่ะมันก็จะไปในเดรัจฉานกถา คือเป็นในเรื่องราวของสัตว์โลกทั้งหลาย  คืออารมณ์ ความสุขความทุกข์ มันเป็นความหมายมั่นในสุขในทุกข์ที่มันให้ค่าให้ความหมายอย่างยิ่ง สำคัญที่สุดของมัน 

มันเลยไม่เห็นคุณค่าความสำคัญขององค์มรรค แล้วยังไม่รู้จักองค์มรรคว่าอยู่ที่ไหน ...พอมาเริ่มภาวนาก็ไปหามรรค ไปสร้างมรรคขึ้นมาใหม่ 

โดยที่ไม่เข้าใจว่ามรรคมันไม่ใช่การไปทำขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ไปหาจากที่อื่น ไม่ใช่ไปทำ ไม่ใช่ไปเรียกร้องให้มันมา ...แต่กายใจเป็นมรรค 

ถ้าพูดว่ากายใจเป็นมรรค ...ใจอยู่ไหนไม่ต้องถาม เอาว่ากายเป็นมรรค แล้วก็รู้กายไว้  นั่งอยู่กับนั่ง ยืนอยู่กับยืน เดินอยู่กับเดิน  นั่งบนนั่ง ยืนบนยืน เดินบนเดิน ขยับบนขยับ ...คือให้มันอยู่ ให้มันอยู่กับกายจริงๆ

ใจอยู่ไหนไม่ต้องถามน่ะ ...ให้มันอยู่กับกายจริงๆ ได้ก่อน แบบโง่ๆ นี่แหละ  ถามตัวเอง แล้วก็ดูตัวเอง ดูรูปทรง ดูกิจกรรม ดูพฤติกรรม ดูอากัปกริยาอาการของมันไป ...ง่ายๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไร 

ไม่ต้องไปเห็นเป็นกระดูก เป็นอสุภะอะไร  ไม่ต้องไปเห็นเป็นดินน้ำไฟลม แบ่งออกเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นสสารก้อนธาตุอะไร ...ให้เห็นก่อนว่า กำลังนั่ง กำลังยืน 

ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นรูปก็ตาม ...รูปนั่ง รูปยืน รูปเดิน เห็นมันลงไป ดูมันลงไป รู้กับมันลงไป  ซ้ำๆๆๆ ที่เดียว ...อย่าเบื่อ อย่าเปลี่ยน

มนุษย์ขี้เบื่อ มนุษย์โลกนี่คือเป็นมนุษย์ เป็นคน เพราะความเป็นคน...มันขี้เบื่อ มันทำอะไรที่ซ้ำซากจำเจ เป็นอาจิณ เป็นกิจวัตรนี่...ไม่เอา ไม่ชอบ เซ็ง  

แล้วมันจะเกิดภาวะที่ว่าปรามาสในธรรม  เข้าใจคำว่ามันปรามาสในธรรมมั้ย ว่า “เฮ้ย ไม่มีอะไร ด้อยค่า ไม่มีราคา ไปทำที่อื่นดีกว่า ไปหาที่อื่นดีกว่า” ...นี่มันเกิดความปรามาส ลบหลู่ธรรม

มันเบื่อไง มันเซ็ง  แล้วมันไม่เห็นผลอะไรขึ้นมา ...คือมันคุ้นเคยกับการคิดการนึก แล้วมันเกิดผล ...ผลคืออะไร คิดนึกพูดแล้วก็ทำ แล้วมันได้ผลคือความสุข หรือไม่ก็ถูกด่ากลับคืนมา คือมันเห็นผลทันตาไง 

มักง่าย ...มันก็เลยเกิดความมักง่าย พอมักง่ายปุ๊บมันก็เกิดความโลภมากในธรรม ...เห็นมั้ย ทุกอย่างมันต่อเนื่องกันนะ

แต่ถ้าเราอดทน มีขันติ  อดทนแล้วก็ภาวนา ภาวิตา พหุลีกตา คือซ้ำๆ ซากๆ ลงในที่เดียว แล้วก็ให้ซ้ำซาก ...ไม่ใช่ซ้ำซากในอุบายด้วย  ซ้ำซากอยู่ในกายนี่ มันไม่ใช่อุบายแล้ว 

กายคือศีลน่ะ ...ซ้ำซากลงในหลักฐานความเป็นจริงคือปัจจุบันกายนี่ มันหลักเลย มันเป็นหลักเลยน่ะ  หลักแบบชัดเจน ชัดแจ้ง แบบเปิดเผยไม่อายฟ้าไม่อายดิน...ว่ากายนี้เป็นจริง 

รือใครไม่มีกาย หือ เกิดมาเป็นมนุษย์ ใครไม่มีกาย  มีพระอรหันต์พระอริยะองค์ไหนไม่มีกาย มันเหมือนกันหมดน่ะ มันเป็นอะไรที่มันเท่าเทียมกันอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายเกิดความไม่เท่าเทียมกันนะ

กายคือความเท่าเทียมกันตั้งแต่เกิดแล้ว เดี๋ยวนี้ก็เท่าเทียมกัน มีความรู้สึกเท่าเทียมกันในความเป็นกาย ...มีใครไม่รู้สึกแข็งมั่งตอนกระทบพื้น มีใครไม่รู้สึกอบอ้าวตอนร้อน เข้าใจมั้ย มันเท่ากัน 

ต่อให้เป็นพระมหากษัตริย์มานั่งก็อบอ้าว มานั่งกับพื้นก็แข็ง  คือมันมีความเท่าเทียมเสมอภาค เท่ากันทุกคน เหมือนกันทุกคน ...นี่คือหลักฐานยืนยันความเป็นจริง

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความเป็นจริงนะ  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวในสามโลกธาตุที่สอนแต่ความจริง สอนบนรากฐานของความเป็นจริง สอนให้ยืนอยู่บนฐานของความเป็นจริง ไม่ให้ออกนอกความเป็นจริง

ไม่ใช่ไปไหว้พระพิฆเนศ ไม่ใช่ไปอ้างพระเจ้าที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ไปอ้างเทวดาอินทร์พรหมเป็นผู้ดลบันดาล พรหมลิขิตบันดาล หรือว่าเจ้าตามศาลเจ้าที่ต้องไปคอยติดสินบนด้วยเครื่องเซ่นอะไร

มีศาสนาพุทธศาสนาเดียวที่สอนเรื่องความเป็นจริง  แล้วไม่ใช่เฉพาะสอนแต่เรื่องความเป็นจริง ท่านยังสอน และก็แนะ และก็บอก และก็เตือนว่า...ให้อยู่บนความเป็นจริง ให้อยู่กับความเป็นจริง

เพราะนั้นเราก็ถามกลับเลยว่า...กายนี่จริงมั้ย มันมีอะไรจริงกว่ากายมั้ย แล้วทุกคนมีความเป็นจริงของกายเหมือนกันมั้ย มันต้องหาความเป็นจริงที่ไหนมั้ย

นี่มันเกิดมาบนความเป็นจริง เกิดมาอยู่กับความเป็นจริงที่มีอยู่แล้ว ...เป็นสมบัติของความเป็นมนุษย์  ท่านเรียกว่ามนุษยสมบัติ 

คือได้กายได้ธาตุ ได้มหาภูตรูปที่มารวมตัวสังเคราะห์ขึ้นมา เป็นทรวดทรงสีสันแต่ละคนจำเพาะขึ้นมา หนึ่งกองๆๆ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งอัตตาของขันธ์ ขึ้นมา ...นี่คือความเป็นจริงง่ายๆ

อยากหาความเป็นจริงกันจัง อยากเข้าถึงความเป็นจริงกันจัง  แต่มันไปหาความเป็นจริงที่ไหน ไปเข้าถึงความจริงกับอะไร ไปเข้าถึงความเป็นจริงแบบว่ามันทำถูกหรือมันทำผิดดี ...จะพยายามค้นหาความเป็นจริงให้ได้ว่ามันถูกหรือมันผิด

แล้วมันก็บอกว่า “ถ้าไม่งั้นน่ะ เราจะไม่รู้จักไม่เข้าใจว่าความเป็นจริงมันคืออะไร” ... นี่ คือความเป็นจริงเหล่านี้พระพุทธเจ้าบอกมันไม่จริง มันไม่ใช่ความจริง มันไม่มีความจริงอะไรในนั้นน่ะ

มันเป็นนิสัยของมนุษย์ที่มันจะไปค้นหาความเป็นจริงในที่ต่างๆ  ค้นหาความเป็นจริงของเหตุการณ์ในโลก การกระทำของสัตว์ คำพูดของบุคคล หาความถูกความผิด แม้กระทั่งวัตถุที่ไม่มีวิญญาณครองมันก็ยังไปหาถูกหาผิดในวัตถุนั้นๆ

แต่ไม่หาความเป็นจริงภายในที่มีอยู่แล้ว ไม่อยู่กับความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่แล้ว ...มันเลยไม่เข้าถึง มันเลยไม่รู้จักความเป็นจริงอยู่ที่ไหนจริงๆ 

มันก็เลยกลายเป็นการภาวนาแบบเล่นๆ เพราะมันไปภาวนาอยู่กับสิ่งที่ไม่จริง ...อะไรที่มันออกนอกนี้ไปนี่ อะไรที่มันออกนอกกายนอกขันธ์นี้ไป มันไม่จริงนะ หลง หลงขันธ์ หลงนอกขันธ์ออกไป หลงหมด

ขนาดในขันธ์มันยังหลงเลย หือ ว่าเป็นขันธ์ของตัวเอง  มันยังหลงขันธ์ของตัวเองเลย ...หลงยังไง หลงว่ามันเป็นของเราจริงๆ อย่างเงี้ย หลงกายว่าเป็นของเราจริงๆ อย่างเงี้ย หลงความคิด หลงว่าความคิดนี่เป็นของเรา ...แค่นี้ก็ยังเรียกว่าหลงขันธ์แล้ว

แต่ทำยังไงถึงจะไม่ให้เกิดอาการหลงขันธ์ หลงโลก ...หยุดหลงโลกก่อน คือไม่ต้องยุ่งเรื่องภายนอกก่อน คิด นึก ไปถึงคนโน้นคนนี้ ...พยายามจำกัดให้อยู่ภายใน 

มันก็จะหลงขันธ์ภายในของมันเอง  คราวนี้หลงขันธ์ภายใน มันก็มีหลงรูปกับหลงนาม ไอ้หลงนามคือเรื่องของความคิด เรื่องของความจำ เวทนา สัญญาอารมณ์ 

นี่ เอาไว้ก่อน ...จะไปแบ่งแยก จะไปรู้ว่ารูปธรรมนามธรรมตามความเป็นจริงคืออะไร รูปธรรมหลอกคืออะไร ...แยกไม่ออกหรอก ปัญญาระดับเตรียมอนุบาล 

นู่น มันต้องปัญญาระดับพระอนาคามีนั่น ขั้นนั้นเรียกว่าปริญญาโท ...เตรียมอนุบาลนี่แยกไม่ออกหรอก

เพราะนั้น...กายนี่ชัดที่สุด เข้าใจมั้ยว่า...ความเป็นจริงของกาย ที่มันจะคอยเปรียบเทียบว่า กายไม่จริงกับกายจริงอยู่ตรงไหน...นี่ เตรียมอนุบาลพออ่านออก เข้าใจมั้ย 

ประถมก็ต้องเรียนซ้ำอยู่ที่เดิม มัธยมก็ยังอยู่ที่นี้ ปริญญาตรียังอยู่นี่เลย ...จบโทแล้วค่อยทิ้ง เข้าใจรึเปล่า กายนี่ 

กว่าที่มันจะชัดแจ้ง ชัดเจน ชัดตามความเป็นจริงนะ เอาจนจิตมันยอม จิตคือเรา เราคิด ...จิต ยอม ยอมแล้ว เชื่อแล้ว ว่าไม่ใช่ของเราจริงๆ

ถึงขั้นนี้รึยัง ...ถ้าถึงขั้นนี้ ปริญญาโท เตรียมต่อเอก ...แต่ถ้ายังไม่ยอมในเรื่อง “กายเรา” ยังว่าเป็นกายเราตั้งแต่หัวจรดตีน...อย่าเรียนรู้เรื่องนาม ...ไม่ทัน 

จะสับสน ...จิตนี่ ความปรุงแต่งในจิตนี่ บอกให้เลย...ร้อยเล่ห์พันอุบาย เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว สิบแปดเหลี่ยมสิบสองคม  มันจะปรุงได้แบบ...ไม่เชื่อเลยว่ามันสามารถจะปรุงได้ถึงขนาดนั้น หลอกได้ขนาดนั้น

สร้างสภาวะเหมือน สร้างมายาเหมือนนี่ จำลองสภาพธรรมได้เหมือนเป๊ะเด๊ะ ยังได้เลย ...วิปลาสมาหลายแล้ว เพราะสำเร็จธรรมก่อนธรรมอันควรจะถึงนี่...ที่จิตสร้างหลอกได้หมดเลย เหมือนเป๊ะเลย ทุกกระเบียดนิ้วในตำราเลย จำลองได้หมด บอกให้

ต้องทำแบบหน้าด้านหน้าทนน่ะ ...คือไม่สนใจมันลูกเดียว เอาไว้ก่อน แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับมัน ไม่แยแสมัน ช่างหัวมันอยู่ตลอดไว้ก่อน เอาไว้ก่อนๆๆ 

เอากายเอาศีลนี้ก่อนๆ ...ต้องอย่างนี้เลยนะ ปัญญามันถึงจะพอกพูนขึ้นพอจะทัดทาน พอจะเท่าทัน พอจะเหนือมัน

เข้าใจว่าเหนือมันมั้ย ถ้าเหนือมันเมื่อไหร่หมายความว่า แค่มันเขยิบออก กระดิกตัวออก พลิกตัวออก พรึ่บ มึงไม่ได้แอ้มกูหรอก บอกให้เลย จิตขนาดนั้น สมาธิขนาดนั้น ปัญญาขนาดนั้น

ต่อให้มันอ้างพ่อตายแม่ตาย...กูยังไม่ออกเลย  ต่อให้อ้างว่า...มึงจะลงนรกถ้ามึงไม่ทำอย่างนี้ ถ้ามึงไม่ปฏิบัติอย่างนี้แล้วลงนรกนะ ...กูก็ไม่ออก ไม่ออกไปคิดต่อ

นี่ เรียกว่าเท่าทันแบบ...มึงอ้างล้านแปดเงื่อนไขขึ้นมา ที่ว่าตายแน่เลย ไม่ถึงไหน ปิดมรรคปิดผล  มันยังไม่ออกไปคิดต่อเลย ...นี่ มันต้องสมาธิระดับนั้นเลยนี่

ของพวกเรานี่ไม่ต้องพูดน่ะ ยังไม่ต้องปรุงนะ จิตแค่วิบ...พรวด ถึงอเมริกาเลย  มันเลยเชียงใหม่อีก ไปเลย  ...นี่ ยังไม่ทันเลย แค่เนี้ย ไม่มีหูรูดเลย ... แล้วจะไปดูจิตทันอย่างไร หือ จะเอาจิตเป็นฐานให้ตั้งสมาธิได้อย่างไร

คือคนชอบพูดว่ามหาสติปัฏฐานมี ๔ ฐานไหนก็ได้ ...ไปไม่รอด บอกให้เลย ไม่รอด ...ไปได้แค่พอสำลักน้ำอ่ะ แล้วก็จม ...มันจะเป็นแค่นั้นนะ แรกๆ ดีนะ  แรกๆ จะดี  เดี๋ยวจม สำลักน้ำ 

แล้วก็พอสำลักน้ำแล้วก็พุ้ยน้ำหมุนๆ วนอยู่ในสระนั่นน่ะ ...คือกูหาทางออกไม่ถูก ไม่รู้จะไปไหนต่อ ทำยังไงต่อ ความรู้ความเข้าใจมันคืออะไร ...ทีนี้ก็คอยถาม คอยหาคำรับรอง มันตอบตัวเองไม่ได้

แต่การรู้กายนี่มันโง่นะ ที่...มันโง่เพราะไม่มีจิตออกไปรู้ข้างนอก เข้าใจมั้ย 

มันไม่ไปรู้กับเรื่องผัวเมียตีกัน มันตีกันเรื่องอะไร อะไรเป็นสาเหตุให้มันตีกัน ทำไมมันถึงหย่ากัน มันหย่ากันเพราะใครไปทำให้มันหย่าหรือมันหย่าเพราะมันไม่ดีต่อกัน ...ไอ้นี่คือความรู้ที่มันอยากรู้ ชอบรู้กันจัง

แล้วถ้ามันรู้มากรู้ได้รอบเรื่องราวนี่...โคตรเก่งเลยกูนี่   จะได้รับคำชมว่า "ไอ้อีนี่มันสัพพัญญูจริงๆ รู้ไปหมด" ...ก็จะได้รับความเกรงขาม 

นี่ มันเข้าใจว่าการรู้มากเนี่ย ความรู้นี่...คือความรู้ที่มันคิดว่ามีความรู้มากเท่าไหร่แล้วมันจะมาช่วยให้เกิดความลุล่วงในมรรค ในการสิ้นสุดของความโง่ความสงสัย


(ต่อแทร็ก 12/11)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น