วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 12/17


พระอาจารย์
12/17 (560929E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 กันยายน 2556


โยม –  พระอาจารย์คะ ที่เมื่อก่อนนี้ฮ่ะ คือนั่งสมาธิ แล้วก็ออกสมาธิแล้วนี่ มันจะนิ่งๆ  ก็มีความรู้สึกว่านิ่งๆ แล้วก็เฉยๆ  พอมันหายนิ่งหายเฉยแล้วนี่ โทสะนี่ คือจะเป็นคนโกรธแรงมาก พอจะกลับมานั่งสมาธิอีก มันก็เหมือนมันกำลังจะทิ้งดิ่งอีกแล้วฮ่ะพระอาจารย์ 

ก็กลัวว่า เวลามันออกมาอีกนี่ คือออกมาแล้วมันต้องถอนหายใจ มันอึดอัดไปหมดฮ่ะพระอาจารย์ ...จะแบบทำยังไงให้แบบมันไม่มีตัวนี้ฮ่ะ หนูถึงว่าไม่กล้ากลับไปนั่งสมาธิแบบหลับตาอย่างนี้อีก เพราะเวลามันนั่งอย่างนี้เหมือนในอกมันแน่นๆ อย่างนี้ค่ะ


พระอาจารย์ –  ไม่ต้องไปทำอะไรหรอก รู้ตัว ... บอกแล้ว อะไรจะเกิดก็ชั่งหัวมัน อะไรจะไม่เกิดก็ชั่งหัวมัน ไม่ต้องไปสร้างขึ้นมาใหม่

การเกิดมาในขันธ์ จิตที่มันอยู่กับขันธ์ ...โดยสภาพนี่ ทุกมนุษย์ผู้คนนี่  จิตที่เข้ามาถือครองขันธ์แล้วมีขันธ์ขึ้นมานี่ จิตมันจะมองเห็นขันธ์นี่ แล้วจิตที่จะเข้าไปปฏิบัติการต่อขันธ์ต่อโลกนี่ 

มันจะเข้าไปปฏิบัติในลักษณะที่เรียกว่า ซีอีโอ (CEO) ...คือขันธ์นี่เป็นของกู บริษัทนี้กูจำกัด (หัวเราะกัน) ไม่ใช่บริษัทมหาชน เพราะนั้นลงตลาดหุ้นไม่ได้ ...คือไม่ได้เป็นสาธารณะนะ 

มันชื่อว่าเป็นบริษัทจำกัด แล้วมันเป็นเจ้าของบริษัท คือมันเป็นซีอีโอ คือประธานใหญ่เลย ...เพราะนั้นอะไรที่มันไม่ชอบมาพากลในกองขันธ์เนี้ย กูจะต้องจัดการมัน

อะไรที่มันดูเหมือนว่า ไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควร ไม่ใช่ แล้วมันจะทำให้บริษัทกูขาดทุนนี่ กูจะต้องจัดการให้ได้...ปัญหาคือตรงนี้ ... แล้วทุกคนต่างคนต่างจัดการน่ะ มันก็เตะตีนกัน เหยียบตีนกัน ไม่เหมือนกัน

เพราะนั้นการภาวนานี่มันเหมือนกับลดอำนาจของ “เรา” ทอนอำนาจของ “เรา” ...คือมันตั้งตัวของมันเองไม่มีใครตั้งมันหรอก “ซีอีโอ” นี่...กูตั้งเอง มีปัญหามั้ย เกิดมากูก็ตั้งของกูได้ พ่อแม่ไม่บอกกูก็ตั้งเอง

กิเลสมันมีความอหังการในตัวของมันอยู่แล้ว อวดดี  มันอวดดี อวดถือตัวของมันมาตั้งแต่เกิด ...เพราะมันเคยถือตัวมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว เกิดกี่ครั้งเกิดกี่ภพ...กูก็เป็นเจ้าของขันธ์ เป็นบริษัทของกู

เพราะนั้นพอเริ่มมาปฏิบัตินี่ มันก็เหมือนกับลดสถานะ จากซีอีโอนี่...ให้มึงมาเป็นยามซะ ... รู้จักยามมั้ย  เออ ยามมีหน้าที่อะไร ...

มีหน้าที่ไปแบ่งหรือเปลี่ยนตำแหน่งในบริษัทได้มั้ย เปลี่ยนสถานะคนงานบริษัทได้มั้ย ไปชี้ถูกชี้ผิดว่า...กูจะไล่มึงออก แล้วกูจะรับสมัครใหม่ได้มั้ย ...เออ พอมันอยู่ในฐานะยาม มันก็บอก “บริษัทกูเจ๊งแน่” 

ให้มันเจ๊งไป ... ต้องฝึกอย่างนี้กันก่อน จนกว่าบริษัทมันจะล้มละลาย...จบ  ทีนี้ เข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นมหาชน สาธารณธรรม ...มหาภูตรูป ๔ เป็นธรรมที่เป็นสาธารณะ ไม่ใช่ใครของใคร

นี่ล้มแล้ว บริษัทจำกัด ...นางสาวกอ นายกอ นางขอ  เพศหญิง-ชาย  สถานะจบปริญญาตรี-โท-เอก หรือไม่จบ จบ ป.๔ จบ ป.๑ จบด๊อกเตอร์ จบเมืองนอก...ไม่มี

บริษัทล้มละลาย กลายเป็นมหาชน ...แล้วแต่โลกเขาจะเล่น คนในโลกเขาจะเล่น  เจ๊งก็เจ๊ง ขาดทุนก็ขาดทุน กำไรก็กำไร ...ไม่มีใครรับผลนี้ เจือจานกันไป เป็นกลาง

แต่เราพยายามจะข้ามสถานะอยู่เรื่อยน่ะ ...เป็นซีอีโอในขันธ์ไม่พอ ...เมียของกู ผัวของกู ลูกของกู มึงต้องอยู่ใต้อำนาจกูนะ ...คือมันจะขยายอิทธิพลน่ะ 

สุดท้ายไม่ใช่แค่ลูกของกู คนรอบข้าง เพื่อนร่วมงานของกูนะ รถของกู บ้านของกู โลกของกู ...นี่ ยุ่งตายห่า ยุ่งแล้ว สับสนแล้ว เริ่มควบคุมไม่ได้แล้ว 

ควบคุมไม่ได้ยังไม่รู้เลย ...ยังดันทุรังอีก เขาเรียกว่าดันทุรังอวดดี ความไม่รู้นี่ มันมีแต่เสียหายอย่างนี้ ...ก็รู้ว่ามันทำไม่ได้ ก็ยังจะทำ  ก็รู้ว่ามันควบคุมไม่ได้ ก็จะควบคุม 

นี่เขาเรียกว่าความถือดี ความถือตัว หรือมานะ  มันมีมานะในตัวของมัน...อัสมิมานะ ... เพราะนั้นตัวอัสมิมานะนี่ เลิกละเพิกถอนได้ก็พระอรหันต์นะ 

มันถือตัวน่ะ มันถือตัวว่ามันทำได้ มันสามารถจัดการได้ ยังจัดการได้อยู่ ...ก็เห็นตายทุกราย ถ้ามันจัดการได้ต้องไม่ตายสิ เห็นมั้ย ว่าขันธ์เป็นของเราก็ต้องสั่งได้สิ อย่าตาย ไม่ปวด เจ็บ 

นั่งนานนี่ปวดมั้ย...ปวด ไม่ชอบมั้ยที่ปวด...ไม่ชอบ ไม่มีใครชอบปวดหรอก ...บอกให้มันหายไปเลยสิ ไหนว่าเป็นของเรา หือ ก็เห็นกันอยู่ตรงหน้านี่ ...กูก็ยังไม่เชื่อ ยังเป็นของเราอยู่ ทำไม มีปัญหาอะไรมั้ย 

นี่ ความถือ ความรั้น ความดันทุรัง หน้าด้านไม่มีเหตุผลของกิเลส มันถือน่ะ ...ก็กูจะถือน่ะ ทำไม ... สั่งไม่ได้ก็เห็นอยู่แล้วว่าสั่งไม่ได้ บอกให้ฟังมันก็ไม่ฟัง ก็เห็นอยู่แล้ว แต่กูก็ยังบอกว่าเป็นของกูอยู่วันยังค่ำ 

กิเลสความดื้อรั้น มันไม่ยอมได้ง่ายๆ น่ะ เห็นมั้ย ...เพราะนั้นน่ะ กว่าที่มันจะปล่อยอาการเหล่านี้ได้นี่ ต้องอาศัยเดินอยู่ในองค์มรรคอย่างเข้มงวด รู้ตัวอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง 

คำว่าเข้มข้นนี่ไม่ใช่ซีเรียสเอาเป็นเอาตาย แต่ว่าต่อเนื่อง ...ทำยังไงให้มันเกิดความต่อเนื่อง หายปุ๊บรู้ปั๊บๆ นี่ ...แล้วก็ถือว่านี่เป็นหน้าที่หลัก ...ไม่ใช่การด่า การวิพากษ์วิจารณ์ การนินทาคน เป็นหน้าที่หลัก
  
คือผู้หญิงนี่ จุ๊กจิ๊ก  แล้วเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นเรื่องได้เก่งมาก มีความสามารถพิเศษในการหาเรื่อง ...ไม่มีเรื่องกูก็หาได้ (หัวเราะกัน) เรื่องนิดกูก็ทำให้ใหญ่ได้

อันนี้เป็นกรรมเลยนะ กรรมที่มากับสัตว์ที่เรียกว่าผู้หญิงเลยนะ ...เป็นวิบากอย่างนึง เป็นลักษณะของ "อิตถินทรีย์" ... คือกายนี่เขาเรียกอินทรีย์ธาตุ เข้าใจมั้ย ความเป็นอินทรีย์ธาตุนี่มันมีหลายอินทรีย์นะ

เพราะนั้นที่มันแสดงความชัดเจนในความเป็นผู้หญิงนี่ เรียกว่ามีอิตถินทรีย์ธาตุมากกว่า ...แล้วถ้าชัดเจนในความเป็นชายปรากฏชัดก็เรียกว่ามีปุริสินทรีย์ธาตุมาก  

แต่ถ้าเมื่อใดที่อิตถินทรีย์กับปุริสินทรีย์มันเสมอกันนี่ เขาเรียกว่ากึ่ง...แบบกูไม่รู้เลยว่ากูเป็นหญิงหรือชาย  ...นี่ มันขึ้นกับธาตุ การประกอบกันของธาตุ

แล้วการประกอบของธาตุก็เลือกไม่ได้ เพราะมันเนื่องด้วยกรรม เป็นวิบากที่มันเลือกไม่ได้เลยน่ะ ...และที่มันเลือกไม่ได้เพราะมันทำด้วยความไม่รู้ตัว เข้าใจมั้ย เพราะไม่มีปัญญา เพราะโง่ไง

แล้วพอได้แล้วก็... เอ๊ะ กูได้มายังไง ทำไมหน้าตากูเหมือนคนไม่ดีเลย หรือทำไมหน้าตากูโคตรสวยเลย เห็นมั้ย นึกว่าเป็นคราวเคราะห์วาสนา ...ไม่ใช่นะ 

มันได้มาจากความไม่รู้ทั้งสิ้น มันก็เกิดการรวมธาตุรวมขันธ์ขึ้นมาอย่างนี้ ...แล้วคราวนี้ว่าการที่สร้างปุริสินทรีย์ธาตุ อิตถินทรีย์ธาตุมากกว่ากันนี่ ...นี่คือกรรม 

เพราะนั้นผู้หญิงนี่จะมีภาระมากกว่าผู้ชาย...มากหลายอย่าง และมีสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หลายอย่าง ที่มันจะต้องรับภาระมากกว่าขันธ์ของผู้ชาย ...แล้วมันก็จะมีนิสัยติดตัวที่ติดมาพร้อมกัน

แต่มันก็มีในแง่ดีเหมือนกัน ไม่ใช่มีแง่ร้ายอย่างเดียว ...ความละเอียด ความรอบคอบ ความลึกซึ้ง ความที่ว่า ฟื้นฝอยหาตะเข็บน่ะ (หัวเราะกัน) 

เอ๊อ มันก็ดีนะ ...ต่อไปมันจะดี คือในการวิจยธรรมขั้นละเอียด เข้าใจมั้ย ธรรมมันจะแตกฉาน ...ในลักษณะผู้หญิงนี่แตกฉานในธรรมมากกว่านะ ความลึกซึ้งนี่

แต่ว่ากว่าที่มันจะละการฟื้นฝอยหาตะเข็บกับเรื่องราวภายนอก แล้วมาฟื้นฝอยหาตะเข็บอยู่ในขันธ์แทนนี่ มันก็ต้องใช้เวลาหน่อย เพราะมันคอยแต่ว่าตาก็จะหาเรื่อง หูก็จะเป็นเรื่องอยู่ตลอดเวลา เรื่องไม่เป็นเรื่องก็เป็นเรื่อง

แล้วก็อีกอย่าง เห็นมั้ย ผู้หญิงนี่พอถึงอายุเข้าเลยกลางคนจะปลายนี่ มันจะเกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะวัยทองเกิดน่ะ คือคุ้มดีคุ้มคลั่ง ...ไม่ใช่คุ้มดีคุ้มร้ายนะ เขาเรียกว่าคุ้มดี กับคุ้มคลั่ง 

เหมือนกันหมด จะเป็นทุกคนเลย หนีไม่พ้นเลยนะ ...คือมันเลือกไม่ได้ มันถูกจำกัดโดยสถานะบังคับให้มันเป็นอย่างนั้น ก็ต้องอดทน ...เพราะนั้นผู้ชายจะไม่มี ภาระในขันธ์ก็น้อยกว่านะ


โยม (อีกคน)  ท่านเจ้าคะ ไอ้การที่เรากลับมารู้นี่ คือมันกลับมารู้ความจริงในความเป็นปัจจุบันใช่มั้ยเจ้าคะ บางอย่างของ ณ ตรงนี้ที่ปรากฏขึ้น ญาณรับรู้ก็ดี มันเห็นทั้งเรื่องจริง แต่ตัวนึงมันจับบางอย่างในความจริง อย่างนั้นใช่มั้ยเจ้าคะ ที่มันเห็น 

ก็คือบางครั้งสัญญามันทำหน้าที่หมดแล้ว จำได้ทำอะไร มีปรากฏด้วยนะว่าอารมณ์นั้นเกิดขึ้น แต่มีการหยั่งตัวนึงที่เข้ามาเห็นว่า เอ๊ มันก็แค่เหตุการณ์นึง ภาพนึง ของความจริง ณ ขณะนั้น ไม่ปฏิเสธว่ามันเกิดขึ้น แต่ก็หยั่งกลับมาระลึก

พระอาจารย์ –  อยู่ในฐาน...ฐานรู้  แล้วอย่าไปปรุงต่อ ... นั่นแหละ มันก็เห็นปัจจุบันนาม ที่เป็นลักษณะของนามในปัจจุบัน ...มันเป็นแค่นั้น


โยม –  คือมันเห็นแล้วมันก็ยอมรับ เออ มันคือความจริงน่ะ ไม่ปฏิเสธ

พระอาจารย์ –  ก็แค่นั้น ความจริงในปัจจุบันก็มี แต่ว่าความเป็นจริงของมันไม่มีอะไรในนั้น ...ก็ไม่มี ไม่มีความเป็นตัวตน ไม่มีความเป็นสัตว์บุคคล  

แต่นี่มันยังมี แอบมีอยู่ เข้าใจมั้ย ...ยังแอบมีเราในความคิดอยู่  มันยังไม่เห็นโดยตลอดในลักษณะนาม ...เพราะนั้นจะไปลึกซึ้งกับมันมากไม่ได้ ผ่านๆ ไป ผ่านๆ ไป 

เอามั่นตรงนี้ มั่นตรงกายไว้เป็นหลัก ไม่งั้นจะลอย ไม่งั้นมันจะมีเรื่องให้คิด ให้พิจารณาเยอะในนามนี่ เรื่องราวความคิด เรื่องราวของกิเลสกับคนนั้นกับคนนี้มันเยอะไปหมด มันจะขึ้นมาไม่ขาดระยะเลยน่ะ

เอาไว้ก่อน วาง รามือกับมันไว้ก่อน  ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ ที่มันยึดมั่นจริงๆ ก็ไม่ต้องไปดูมัน ไม่ต้องไปจ้องจ่อกับมัน ...แล้วก็เอาไว้ห่างๆ เหมือนกับมองมันห่างๆ เห็นมันห่างๆ แค่นั้นพอ ไว้ก่อน 

อย่าไปซีเรียสกับมัน อย่าไปซีเรียสกับจิต อย่าไปซีเรียสกับเรื่องในจิต หรือจะไปทำความรู้แจ้งเห็นจริงกับจิตเป็นหลัก ...แต่จ่อไว้ตรงนี้ เอากายนี้ไปก่อน

เพื่ออะไร ...เพื่อสร้างฐานของสมาธิ...ให้มั่น ...ให้รู้มันแข็งแกร่ง ให้ดวงจิตผู้รู้มันแนบแน่น รวมเป็นกลุ่มก้อนที่มันแข็งแรงมั่นคง

ต่อไปมันจะไปเผชิญหน้ากับจิตด้วยความไม่หวั่นไหว ...แล้วก็จะเห็นเป็นลักษณะ ก็คือลักษณะแค่ลักษณะ ไม่มีอะไรในลักษณะนี้จริงๆ ...ไม่เคลื่อน

ไม่งั้นน่ะ การดูจิตมันจะเป็นแบบ...พอดูเห็นปุ๊บ เห็นไปเห็นมานี่ มันชะเง้อ ชะเง้อเอาหัวไปซุก ...นี่เขาเรียกว่าไม่มีสมาธิ ไม่มีฐานรู้ฐานเห็นที่ตั้งมั่นพอ 

มันจะไปต่อกรกับอำนาจจิต ต่อกรกับความเป็นไปในจิต ต่อกรกับความกิเลสในจิตไม่ได้ ...มันก็ต้องสร้างฐานนี้ แล้วในขณะที่มันสร้างฐานนี้ มันก็จะทำความแจ้งชัดในความเป็นกาย ในความเป็นเรา 

เมื่อความเป็นกาย เมื่อความเป็นเราจางลง ...ไอ้ความเสมือนจริงของจิต ในจิตนี่ จะน้อยลงไปเอง มันจะอ่อนตัวลงของมันไปเอง ...แล้วตัวความเป็นเราในจิต ในความเห็น ในความคิด ในอารมณ์ น้อยลงด้วย

ทีนี้มันก็ยิ่งสมาธิมั่นคง สมาธิมันกลับแข็งแกร่งขึ้น ...มันแทบจะเรียกว่า ผิวๆ เลยน่ะ เข้าใจมั้ย ไม่มีคุณค่าราคาเลย ในอารมณ์ ในความหมายในจิตที่มันสร้างขึ้นมา

ถึงบอกว่า อย่าออกนอกกาย อย่าทิ้งกาย อย่าห่างกาย ...แม้มันจะมีเรื่องให้มันต้องข้องแวะในอารมณ์ก็ตาม พอเข้าไปรู้เห็นกับมันได้ระยะหนึ่ง ช่วงหนึ่ง ก็ทิ้งออก ถอนออก 

อย่าลืมกาย ...ไม่งั้นมันจะหมกมุ่น เกิดภาวะหมกมุ่นในจิต เกิดภาวะหมกมุ่น...เพื่อจะไปเอาความรู้ความเห็นในธรรมที่เกิดกับมัน เอาความรู้แจ้งเห็นจริงกับมัน

เนี่ย เพื่ออะไร...เพื่อจะเคลียร์มันให้ได้ จะเคลียร์ให้ได้ ...คือลึกๆ มันอยากจะเคลียร์จิต เข้าใจมั้ย ให้จิตมันโล่ง แล้วมันอยู่สบาย  

เมื่อใดที่มีอารมณ์ เมื่อใดที่มีความคิด แล้วมันมาเทียบกับที่จิตมันโล่งว่างไม่ได้ มันก็เลยชอบตรงนั้น จะไปเคลียร์ ...เคลียร์ไม่ได้หรอก ยังเคลียร์ไม่ได้


โยม –  ถ้านั้นตามธรรมมันก็เหมือนเห็นข้างนอก รู้ข้างนอก กลับมาข้างใน สะท้อนกลับมา มาอยู่ตรงนี้

พระอาจารย์ –  ตรงนี้...ฐานเดียว ฐานกาย ฐานรู้


โยม –  เจ้าค่ะ บางทีมันสะท้อนกลับที่นี่ มันตีกลับขึ้นมาอีกว่าอะไร ไม่มีอะไร ก็คือไม่มี

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ต้องทนอยู่ตรงนั้นแหละ ต้องทนอยู่ที่ไม่มีอะไร  มันว่ามันจะไปหาอะไรให้มีขึ้นมาให้ได้ นั่นน่ะจิตมันหาเรื่อง มันหาภพ 

คือความทะยานของจิต มันอยู่กับความไม่มีภพไม่เป็น มันยังไม่เป็น แล้วมันเข้าใจว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของมัน มันจะต้องมีภพของมันให้อยู่


โยม –  หลวงพ่อเจ้าคะ บางทีมันไม่ได้ตั้งใจคิดนะ มันเห็นภาพอดีตที่มันขึ้นมา แล้วจะเห็นการเปรียบเทียบของมันเอง โดยที่ยังไม่ได้อธิบาย แต่มันเข้าใจแล้วมัน...เออ เข้าใจ

พระอาจารย์ –  นั่นน่ะความหมายมั่น ความหมายมั่นในอดีต มันลึกซึ้ง เป็นมโนสัญเจตนา แทบจะไม่ต้องไปเจตนาเลย มันสำเร็จรูปเลย

มันเกิดขึ้นมาสำเร็จรูปเลย แยกถูกแยกผิด แยกดีแยกชั่ว แยกบุญแยกบาป แยกว่าน่าพอใจ น่าเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ ได้ทันที พึ่บ ในขณะที่มันเกิดเลย 

ไม่ต้องไปนั่งประมวลเลย ไม่ต้องมีการประมวลเลย มันประมวลให้เสร็จเลย ไวมาก ถึงบอก อย่าไปเล่นกับจิต


โยม –  ถ้าอย่างนี้มันเป็นลักษณะของวิจยะมั้ยเจ้าคะ เออ มันเห็นการเปรียบเทียบอดีตและความจริง ทิ้ง  กลับมารู้ ...อย่างนี้เรียกว่าเป็นวิจยะมั้ยเจ้าคะ

พระอาจารย์ –  ก็เป็นส่วนหนึ่ง เป็นส่วนนึง


โยม –  ถ้างั้นการที่เรากลับมาดูปัจจุบัน มันต้องมีเจตนาของการที่จะมาดูส่วนนึง

พระอาจารย์ –  ใช่ ต้องทำ ต้องเจริญ


โยม –  ต้องเจตนาทุกครั้ง ทุกครั้งที่รู้

พระอาจารย์ –  ใช่ เพราะนั้นเวลาที่ทำความรู้ตัว เหนื่อยมั้ย ...มันเหมือนต้องทำอะไรสักอย่างนึงอยู่ที่มันไม่ชอบ มันจะชอบปล่อยมือ ปล่อยให้สบายๆ ปล่อยให้ไม่ทำอะไรเลย 

นี่เขาเรียกว่าออกจากงาน ไม่งั้นท่านไม่เรียกว่าสัมมาอาชีโวหรอก มันต้องทำงาน



โยม –  เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นเวลาทำ มันเหมือนกับต้องคอยรู้ตัว คอยทำอะไรอยู่อย่างนึงข้างใน นั่นน่ะเจตนา แต่เป็นเจตนาในองค์มรรค เจตนาในการสร้างจิตผู้รู้ขึ้นมา เจตนาเพื่อสร้างจิตผู้รู้ 

เพื่ออาศัยอานิสงส์ หรือคุณภาพ หรืออำนาจของจิตผู้รู้นี่ มันจะทำให้เกิดปัญญา ...ถ้ามันไม่ทำขึ้น มันก็ไม่เกิดดวงจิตผู้รู้ ...เพราะดวงจิตผู้รู้มันไม่ใช่ใจนะ มันก็คือลักษณะสังขารจิตหรือจิตหนึ่งเหมือนกัน 

เพราะนั้นศีลสมาธิปัญญานี่เป็นสังขารหมดแหละ


โยม –  ผู้ที่จะเข้ามาถึงตัวใจจริงๆ ได้ คือผู้ที่ท่านหมดจดไปแล้ว อย่างนั้นใช่ไหมเจ้าคะ

พระอาจารย์ –  คือแต่ละท่านนี่ ท่านจะเข้าไปเห็นใจในระดับหนึ่ง หมายความว่าเป็นสมุจเฉทในขีดขั้นไหนนี่ ท่านจะหยั่งเข้าไปถึงใจที่โล่งว่างเปล่าในขณะเดียว แล้วก็พรึ่บขึ้นมาอยู่กับดวงจิตผู้รู้เป็นหลัก 

เข้าใจมั้ย ...เพราะนั้นดวงจิตผู้รู้กับใจนี่คนละตัวกัน มันคนละตัวกัน


โยม –  ยังไม่เข้าใจเจ้าค่ะ เก็บไว้ก่อน

พระอาจารย์ –  อือ ภาวนาจนกว่ามันจะเหลือแค่รู้แค่กายกับใจ...สองสิ่งในสามโลกธาตุ อยู่แค่นั้นแหละ ไม่ต้องเอาความรู้อะไรเลย 

ให้มันเหลืออยู่แค่สองอย่าง โดยที่มันไม่มีจิตที่มันกระหวัดไปกับอะไรเลย นั่นแหละ มันหยุดโดยสิ้นเชิงในการกระหวัดไปหาอะไรมาเพิ่มมาเติมเกินจากกายใจนี้ ...ไม่งั้นผลการภาวนามันจะคลาดเคลื่อน

ความทะยานของจิตน่ะมันจะหดตัว จนจบ จนหยุดในตัวของมันเอง 

ต้องคอยรวมลงที่ฐาน...ฐานกายใจ จนมันยอมรับความจริงแค่กายใจแค่นี้ ...ทุกอย่างมันก็จะหมดค่า หมดราคา หมดความมีความหมาย หมดความหมายมั่น หมดที่มันหมาย หมดที่มันมั่นไป

เพราะนั้นแก้อะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ออกก็กลับมารู้ตัว ...อยู่กับรู้ตัวๆ 

ทำกายให้ชัด ทำรู้ให้ชัด กายยังไง รู้ยังไง มันต่างกันอย่างไร มันคนละอันกันอย่างไร แยกแยะอยู่สองประเด็นนี่ เรียกว่าสติในกาย เรียกว่าศีลสมาธิปัญญาในปัจจุบัน เรียกว่ามรรค


โยม –  บางอย่างมันต้องอาศัยกำลังด้วยมั้ยเจ้าคะหลวงพ่อ

พระอาจารย์ –  จิตควรบังคับ...ควรบังคับ จิตควรห้าม...ควรห้าม 

กำลังก็คือความอดทน มาจากความอดทนขันติ เป็นฐานของกำลัง ...ไม่ใช่ความสงบอย่างเดียว ถ้าไปเข้าใจว่าความสงบเป็นฐาน มันก็จะวิ่งหาแต่ความสงบ

ความอดทนที่จะอยู่กับสิ่งที่อยู่ได้ยาก ในขณะที่มันเกิดภาวะเหตุการณ์ที่ไม่น่าอยู่ ไม่สามารถจะอยู่ได้ ...นั่นแหละเขาเรียกว่ากำลัง 

มันจะเกิดความเข้มแข็งขึ้น ยืนขึ้นกับเหตุการณ์ตรงนั้น...ที่มันไม่เคยอยู่ได้ คือล้มตลอดเวลา หรือระเนระนาดไปกับมัน

กำลังก็ต้องสร้างขึ้นด้วยความอดทน ฝืน ฝืนรู้ตัว ฝืนอยู่กับรู้ตัว ฝืนที่จะเอาแค่รู้ตัว ฝืนทั้งนั้น  นั่นน่ะ มันก็จะสร้างฐานกำลังของสมาธิ ของสติ ของปัญญาขึ้น ...ไม่ใช่ว่าความสงบเป็นกำลัง


โยม –  เจ้าค่ะ  ก็ได้กำลังทุกครั้งที่มาฟัง มันไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ ฟังในเทปนี่ มันก็ได้ในระดับนึง  แต่มาฟังนี่ ณ ตรงเฉพาะหน้า บางครั้งมันตื่น มันตื่นเยอะกว่าเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  มันไม่ค่อยไปไหนน่ะ


โยม –  มันก็เลยรู้สึกว่ามันห่างไกลครูบาอาจารย์ไม่ได้ แค่มันห่างไปแค่ไปทำภาระหน้าที่การงาน แค่นั้นมันก็หลงไปอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่

พระอาจารย์ –  มันยังยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองไม่เต็มฝ่าตีน มันยืนได้แค่ปลายๆ ตีน ขย่งๆ เขย่งๆ แค่นี้ ...มันก็ยังยืนเหมือนไม่หนักแน่นน่ะ

จนกว่ามันจะมีกำลัง ...อบรมอินทรีย์ เป็นเรื่องอบรมอินทรีย์ คอยนึกน้อมไว้เสมอ เผลอเพลินเป็นเรื่องปกติ ...แต่ว่าการนึกน้อมก็ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ 

ไอ้การเผลอเพลินน่ะมันเป็นรูทีนของกิเลสอยู่แล้ว ของความเคยชิน ...แต่ก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างศีลสมาธิปัญญาขึ้นมา ...ไม่เจริญไม่สร้าง มันไม่เกิดขึ้นมาได้หรอก 

มันก็ต้องคอยเตือน คอยบอก คอยสอนว่า อย่าไปจมตาย อย่าไปนอนตาย อย่าไปประมาทตายอยู่ ในเหล่านั้น 

ความเพลินนั้น ความคิดนั้น อารมณ์นั้น อดีตอย่างนั้น อนาคตอย่างนี้ ความเป็นจริงของคนนั้น ความเป็นจริงของความถูกความผิดของการกระทำคำพูดคนนั้นคนนี้

เมื่อมันเข้าไปเกิดภาวะลุ่มลึก หมกมุ่น ...รู้ตัวได้เมื่อไหร่ก็ถอนออก กลับมาอยู่กับรู้ตัว ... เพราะนั้นเวลาถอนออกมา เวลากลับมารู้ตัวนี่ มันจะลำบาก ในเบื้องต้น

ลำบาก เพราะมันจะฝืนทวนกระแสอย่างแรง  ยิ่งหลงไปนานก็ยิ่งแรง มีกำลังของกิเลสแรง มันก็ต้องอดทนมาก ...พอมันคลายออก มันก็ไม่ค่อยอดทนแล้ว อยู่ไหนก็รู้ตัวได้ต่อเนื่องดี 

แต่ถ้ามันไปอยู่กับกิเลสมาก มันก็สร้างสมกำลัง  ทีนี้พอมันจะถอนออกมาก็ลำบาก ถอนมาได้ก็อยู่ได้แบบได้แค่ปลายนิ้วก้อยอย่างนี้ ก็ล้มๆๆ ...ก็ต้องทวนอยู่ตลอด อดทนอยู่ตลอด 

จนมันคลายตัวของมันเอง แล้วก็รักษารู้ไว้ รักษากายไว้ ... นั่นน่ะเขาเรียกว่าอานิสงส์ของกิเลส กับอานิสงส์ของธรรมของศีลของสมาธิ

คราวนี้ก็ต้อง...เวลาไม่มีอะไรนี่ เป็นเวลาที่ต้องสร้างฐานให้มั่น ให้มันเกิดความแนบแน่นมั่นคง ไม่ใช่อยู่ด้วยภาวะ...เอ้ย สบายแล้ว ไม่มีเรื่อง ไม่ต้องทำอะไรแล้ว...ไม่ได้

มันต้องทำความรู้อยู่ มันต้องทำความรู้เห็นในกายอยู่ตลอด...งานทิ้งไม่ได้  มันจึงจะเกิดความพอกพูนในอำนาจของศีลสติสมาธิขึ้นมา ...เพื่อให้ต่อกรกับกิเลส ที่มันจะมีกำลังได้ทุกเมื่อทุกเวลา 

มันจะฟื้นคืนชีพได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ...มันยังหวน บอกแล้วว่าในระดับมรรคเบื้องต้น มรรคขั้นกลาง ขั้นปลาย ...เนี่ย กิเลสมันแค่นอนหลับไม่ใช่สลบ 

ถ้าเป็นลักษณะของพระอนาคาน่ะ สลบ ใกล้จะหมดฤทธิ์แล้ว ใกล้ตายแล้ว 

แต่อย่างนี้มันยังแค่นอนงีบไป แค่นอนหลับงีบนึง ...เดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาอาละวาดอีก ส่ายหัวส่ายหาง วางก้ามวางตัววางความถือหน้าถือตาถือตัวถือตนขึ้นมาอีก


................................


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น