วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 12/4


พระอาจารย์
12/4 (560706D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 กรกฎาคม 2556


พระอาจารย์ –   ทำงานไป ย่ำไป ย่ำต๊อก..แต๊กๆ เป็นขณะๆ ต๊อก..แต๊ก หมุนวนอยู่ภายในน่ะแหละ ในองคาพยพของกายนั่นแหละ ในมหาภูตรูปน่ะ ...เดินให้ทั่ว เดินแบบไปเดินในตลาดถนนคนเดินน่ะ แต่เราไม่ได้เดินที่ถนนคนเดิน เราเดินในกาย 

เอาสติพาเดินอยู่ในความรู้สึกของกาย ขึ้น-ลงๆ หัวจรดตีน...ตีนจรดหัว  ดูไปดูมา หมุนหน้าหมุนหลัง ...ไม่ต้องไปยืนหมุนนะ จิตหมุน หัน ดูความรู้สึกข้างหลัง ข้างก้น ข้างบน ข้างล่าง

ถ้าพระโยคาวจรนี่ ฝึกหัดกันอย่างนี้ สติหมุนวนอยู่ในกายโดยรอบ โดยตลอด โดยไม่ทอดธุระ ไม่ขาดสายอย่างนี้ ไม่นานเกินรอหรอก ชั่วอึดใจหนึ่งหม้อข้าวเดือด จิตผ่องใสน่ะ ...ผ่องใสของมันเองน่ะ ผ่องใสแล้วแบบไม่อยากได้อะไรขึ้นมาเองน่ะ 

มันจะรู้สึกเองเลย ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธินะ มันเป็นความตั้งมั่นที่มันไม่อยากได้อะไรน่ะ ไม่อยากเอาอะไรเลย  มันอยากอยู่ของมันเฉยๆ อย่างนั้นน่ะ อยู่กับรู้อยู่กับเห็นเฉยๆ อยู่กับรู้อยู่กับกายเฉยๆ อย่างนั้น  มันไม่อยากได้อะไร ไม่อยากหาอะไรเลยน่ะ 

นั่นแหละเขาเรียกว่าผ่องใสแล้ว ค่อนข้างผ่องใสขึ้นแล้ว ...มันยังไม่ใสเหมือนหลอดนีออนนี้หรอก ความสว่างภายในนี่มันไม่ใช่สว่างแบบสปอตไลท์ มันใส...ใส อย่างนี้ ใสแบบเคลียร์ๆๆ  ไม่ใช่ใสแบบเอาไฟฉายไปส่อง 

มันเคลียร์ ชัดเจน โล่งโจ้ง อย่างนี้ ...แล้วก็ไม่ลังเลอะไร แล้วก็ไม่หาไม่เห็นอะไรข้างนอก ไม่อยากหาอยากรู้อะไรข้างนอก ไม่สงสัยไอ้ที่ไม่เห็น แล้วก็ไปสงสัยไอ้ที่ไม่เห็นคืออดีต-อนาคต มันก็อยู่ของมันได้ ...นี่ เรียกว่าอำนาจของสติ อำนาจของศีล อำนาจของสมาธิมันเกื้อกัน

นี่ถ้าเจริญต่อในองค์ของโพธิปักขิยธรรมที่เรียกว่าอิทธิบาทหรือสัมมัปปธาน ๔ เพียรรักษาไว้ ... นี่ ตอนแรกมันเพียรทำความดีให้เกิดขึ้น มันผ่านขั้นตอนนั้นแล้วด้วยอิทธิบาท ...พอมันถึงตรงนี้มันเกิดขึ้นแล้ว 

ในลักษณะนี้เป็นกลางอย่างนี้ กับกายกับใจปัจจุบันอย่างนี้ ก็ต้องเพียรที่จะรักษาไว้  นี่เริ่มเข้ามาในหลักของสัมมัปปธาน ๔ แล้ว ...รักษาไว้ยังไม่พอ พอรักษาแล้วต้องพัฒนาขึ้นไปให้ยิ่งขึ้นกว่านี้อีก นี่ ในสัมมัปปธานมี ๔ นะ

แล้วในระหว่างที่รักษา เจริญให้มันมากขึ้นยิ่งขึ้นนี่ มันจะมีปลวกมาคอยแทะ ...คืออาการของจิต อาการของ "เรา"  ความอยากของเรา ความรู้สึก ความอยากได้ อยากมีอยากเป็น สัญญาอารมณ์ สัญญาเคยได้ยินได้ฟัง สัญญาเคยอ่าน สัญญาเคยรับธรรม ภาษาธรรม สมมุติธรรมอันนั้นอันนี้มา

มันเริ่มออกไปจะค้นจะหานี่ ถือว่าเป็นปลวกเป็นมอด ที่จะมากัดกร่อน ...ตรงนี้ท่านก็บอกว่าต้องเพียรชำระออกซึ่งอกุศล นี่สัมมัปปธาน ...เพราะนั้นในระดับตรงนี้พอเริ่มสัมมัปปธานปุ๊บนี่ มันจะเข้าไปบริบูรณ์ พอกพูน เพิ่มพูนขึ้นซึ่งโพชฌงค์ ๗

โพชฌงค์ ๗ นี่ ในโพชฌงค์ ๗ นี่มีครบหมดเลย  โพชฌงค์นี่เป็นองค์ที่จะทำให้เกิดความรอบรู้ในธรรม ...ธรรมนี้คือขันธ์นะ ไม่ใช่ธรรมในจักรวาลสากลโลกนะ 

ธรรมนี้คือขันธ์ ทั้ง ๕ ...เริ่มเป็น ๕ แล้ว รวม ๕ แล้ว ไม่จำเพาะกายแล้ว ... พูดตามตำราเป๊ะเลย มันพูดได้ แต่ไอ้ตอนทำน่ะมันไม่มีตำรา มันพูดได้เพราะมันทำแล้วน่ะ มันค่อยมาเทียบเคียงตามตำรา

พอมันมาเรียบเรียงตามตำราแล้วมันจะรู้เลย มันจะชัดเจนเลยว่า มันไม่มีอะไรมาคัดง้าง คัดค้านได้ในปริยัติเลย มันทาบกันสนิท ไม่มีรอยต่อเลย ระหว่างปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ...มันเถียงไม่ได้

อะไรเถียงไม่ได้ ..."เรา" ความไม่รู้ของตัวเรา ที่มันคอยจะหาเงื่อนไขมาต่อรอง หรือว่าคัดค้าน หรือขัดแย้ง ...พอมันมาลงถึงตรงนี้ ปริยัติ ปฏิบัติ มันวางกันทาบกันนี่สนิทไร้รอยต่อ ไม่ขัดแย้งในตัวของมันเองเลย

มันก็เริ่มเชื่อมสมานธรรมนี่เป็นสามัคคีธรรม เป็นสมังคีธรรม ...จากศีลสมาธิปัญญาที่เป็นหัวข้อ เป็นข้อๆ ขาดกันเป็นวรรคเป็นตอนเป็นคนละส่วนคนละอันกัน...ก็เริ่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันหมดโดยสนิทใจ

วิถีการปฏิบัติ ตั้งแต่เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ เจโตกึ่งปัญญาวิมุติ ก็รวมกันเป็นหนึ่งโดยสนิทใจ  ไม่มีแบ่งสันปันส่วนว่านี้เป็นอย่างนั้น นี้คนละสายกัน นี่เป็นสายเดียวกัน นี่เป็นอุปนิสัยเดียวกัน...ไม่มี  มันรวมสมานกันเชื่อมกันเป็นหนึ่งในที่เดียว ไร้รอยต่อ

มันก็ยิ่งเกื้อให้เกิดจิตหนึ่งธรรมหนึ่ง เอโกธัมโม เอกังจิตตัง  สมาธิก็ยิ่งมั่นคงชัดเจน รู้คือรู้จริงๆ ไม่มีอีแอบในรู้ คือเรา คือความเห็น คือความจำ มันยังแอบอย่างนั้นแอบอย่างนี้ออกมา มันก็ขัดล้างๆๆ ออก 

ยังคงแต่ความบริสุทธิ์รู้ บริสุทธิ์เห็น ...ตรงนั้นน่ะเรียกว่าบริสุทธิ์รู้ บริสุทธิ์เห็น  ท่านเรียกว่าญาณวิสุทธิ ญาณทัสสนะที่เป็นวิสุทธิญาณ บริสุทธิ์รู้ บริสุทธิ์เห็น บริสุทธิ์ใจ

ไอ้ที่เราพูดมานี่แค่สักประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เวลาทำนี่หลายปี บอกให้นะ ...ที่บอกนี่ไม่ใช่เพื่ออะไร เพื่อไม่ให้มักง่าย ไม่ใช่ว่าฟังแล้ว เข้าใจแล้ว เดี๋ยวก็แบบ... "เดี๋ยวคงได้แล้ว แป๊บนึง เดี๋ยวกลับไปทำ พรุ่งนี้ต้องได้ผลเลยอ่ะ" (โยมหัวเราะ) ...นี่ กูพูดฐานะหลายปีมาก เข้าใจป่าว

แล้วก็อยู่ด้วยเหตุปัจจัยของความเพียรด้วยนะ คือความต่อเนื่องด้วย ตรงนี้คือข้อสำคัญ ไม่เว้นวรรคขาดตอน ...ตรงนี้เขาเรียกว่าเป็นตัวปุ๋ยสูตรพิเศษน่ะ 16-16-16 เร่งราก เร่งต้น เร่งกิ่ง เร่งก้าน เร่งใบ เร่งดอก เร่งผล พร้อมกัน...16-16-16

ความเพียร ...ถ้าขาดความเพียรต่อเนื่องสม่ำเสมอนะ อันนี้มันจะไปเป็นปุ๋ยแบบสูตร 0-4-16 หรือ 4-16-0 คือ...กูจะเอาแต่ดอกกับผล แต่ต้นกูตายอ่ะ ...ไอ้นี่ไม่สอน ไอ้นี่ไม่แนะนำ ไอ้สูตรบ้าๆ บอๆ อย่างนี้ 

เราเอาสูตรของปราชญ์เอกแห่งโลก คือพุทธะ ไม่ใช่สูตรยาพื้นบ้านแบบผสมยาตำเอง แล้วก็ไปรดต้นไม้ ดีแค่สองปีตาย  คนกินก็ตายตามหลัง เป็นมะเร็ง อย่างนี้ ไอ้นี่แบบปราชญ์พื้นบ้าน เยอะนะปราชญ์พื้นบ้าน

แต่ถ้าตามสูตรของพุทธะนี่ ปราชญ์เอก จอมปราชญ์ของสามโลกธาตุ ท่านสอนหมด ท่านครอบสากลอนันตาจักรวาล ...นี่ เราเชื่อและทำตาม  

และท่านวางสูตรไว้ตายตัว ได้ผลแบบเดียวกันหมด ยั่งยืนด้วย เป็นอนันตกาล ไม่หวนคืน  นั่นน่ะคือผลอันยั่งยืน ไม่ใช่มาหลอกล่อกันแค่เป็นพีเรียดเป็นช่วงกัน

เพราะนั้นความสม่ำเสมอนี่ กาย-ใจไม่ขาดสายนะ แค่นี้ รักษากายใจให้สม่ำเสมอ...ไม่ขาดสาย ไม่ทอดธุระ ไม่หยุดการขวนขวายในกาย ในรู้ 

เพราะพอมันเริ่มอยู่ตัวแล้ว ความขวนขวายจะเริ่มน้อยลงแล้ว ...การฝึกในระดับกลางนี่ มันเริ่มมีความประมาทเข้ามา คืบคลานเข้ามา ...มันเริ่มอ่อนแล้ว คิดว่ามันจะคงอยู่แล้ว คงอยู่ของมันแล้ว 

"เดี๋ยวๆ มันก็เป็นมหาสติเองน่ะ" จิตมันว่า แล้วเดี๋ยวกูจะแสดงให้เห็น เดี๋ยวมึงเจอกูหลอกอีก ...แล้วก็จะมานั่งหัวเข่าท่วมบ้องหูน่ะ น้ำตาตกใน "หนูไม่น่าเลย มัวแต่ไปทำอย่างอื่นเพลิน ลืมไปเลย นึกว่ามันจะอยู่ตัวแล้ว"

ทีนี้พอกลับมาฟื้นฟูสภาพป่าใหม่นะ จากป่าที่มันเสื่อมโทรมนี่  โห เอ้ย ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ...ถ้ามันลองได้เสื่อมจากศีลสมาธิปัญญาที่เป็นสัมมาแล้วนี่  ...จะเอาคืนนี่ โอ้โฮ ท้อแล้วท้ออีกน่ะ เข็นแล้วเข็นอีกน่ะ 

ตัวมันเองเข็นเองไม่ได้ ยังต้องพามาให้อาจารย์เข็นอีกต่างหาก ...ร่ำๆ จะทิ้งครกลงมหาสมุทรอยู่เรื่อยน่ะ

“ไม่เอาแล้วๆ ทำอย่างอื่นดีกว่า เที่ยวดีกว่า ทำบุญดีกว่า สร้างบารมีไปก่อนดีกว่า ไม่ถึงแน่ๆ เลยกู เลี้ยงหลานดีกว่ามั้ง หรือไปชลบุรีดีกว่า ง่ายกว่าอีก รู้ตัวนี่โคตรยากเลยจารย์” (โยมหัวเราะ) ...ก็ไปหาอย่างอื่นทำ 

แล้วมีอะไรในโลกมันไม่เจ๊งมั่ง มีอะไรในโลกมันไม่ดับมั่ง ยังฝันหวานๆ ว่ารวย ทำไมไม่คิดตอนที่มันเจ๊งล่ะ ไม่เคยคิดหรอก ...ถึงไม่คิดมันก็เจ๊ง เพราะมันมีความดับไปอยู่แล้ว ไม่มันเจ๊งก่อน กูก็เจ๊งก่อนมึง ขันธ์ เข้าใจมั้ย

เออ ถ้าใจมันมีปัญญานะ มันจะเห็นเลยว่า มันไม่มีอะไรไปคาดคั้นมั่นคงได้หรอก ถ้ามันเห็นอย่างนั้นโดยตลอดโดยทั่วแล้ว มันจะสรุปในตัวเอง "กูไม่ทำดีกว่า กูรู้อยู่เฉยๆ ดีกว่ามั้ง" เออ นี่เขาเรียกปัญญาเกิดแล้ว

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ร่ำรวยทรัพย์สมบัติภายนอก แต่ให้ร่ำรวยภายใน  เศรษฐี...ภาษาหลวงตามหาบัวท่านว่า...เศรษฐีธรรม ภายนอกจนข้างในรวย

มาฟังกี่ครั้ง มาหากี่ครั้ง แจกจ่ายธรรมได้ไม่อั้น ...มึงถามเรื่องไร้สาระ กูก็จะตอบเรื่องไร้สาระ  ไม่อั้นๆ ธรรมนี่ไม่อั้น  ถามเรื่องธรรมถึงที่สุด ก็ตอบได้ถึงที่สุด ไม่อั้นเหมือนกัน เอาดิ 

เศรษฐี นี่เขาเรียกเศรษฐีธรรม ...ถามเรื่องบ้าๆ บอๆ กูก็ตอบบ้าๆ บอๆ ได้ หรือถามเรื่องนิพพาน ก็จะอธิบายถึงนิพพาน ถามเรื่องสมถะก็จะตอบเรื่องสมถะ ...นั่น มันตอบได้หมด เศรษฐีนี่ ไม่ใช่ยาจกนะ

แต่คราวนี้ว่าเศรษฐีบางท่านบางองค์นี่ รู้..แต่ไม่ตอบ...ก็ได้  ไม่รู้จะตอบไปทำไม ฟังไปทำไม แบบกูรู้นะ แต่กูไม่ตอบ ...อันนี้แล้วแต่อุปนิสัย 

นี่ไม่ใช่อมภูมิ แต่ท่านรู้อยู่แล้ว ตอบไปก็เสียเวลาเปล่า รู้ไปทำไม ...แค่ให้มันรู้ว่านั่งอย่างเดียว มันยังจะตายห่าอยู่แล้ว จะไปหาความรู้อื่นมาเติมเต็มอีก

แค่สร้างความบริบูรณ์ในศีลสมาธิปัญญา มันยังเหมือนกับเข็นครกขึ้นภูเขา  แล้วยังจะไปบริบูรณ์ในความรู้ภายนอกอะไรกัน ...แล้วมันจะเกิดความบริบูรณ์ของศีลสมาธิและปัญญาได้อย่างไร

นี่ ทำความเป็นพระให้สมบูรณ์ ...มันจะเป็นพระที่สมบูรณ์ ก็ต้องบริบูรณ์ด้วยศีลสมาธิและปัญญา  แล้วการบริบูรณ์ของศีลสมาธิและปัญญา ก็แค่คำว่า “รู้ตัว” น่ะให้เต็มที่ ให้เต็มกำลัง ให้เต็มเวลา

ไม่ให้อะไรมากินเวลาไป ...ความคิดบ้าง เรื่องราวภายนอกบ้าง อดีต-อนาคตบ้าง สภาวธรรมที่ยังมาไม่ถึงบ้าง ...พวกนี้มันจะมากินเวลาไป แล้วเราไปให้ค่า ให้ความสำคัญ ให้กำลัง ...มี “เรา” เข้าไปให้กำลังกับไอ้สิ่งที่มันจะดึงให้ออกจากการเติมเต็มในศีลสติสมาธิปัญญา

แต่ถ้าทำอยู่ เติมอยู่ เจริญอยู่ในศีลสมาธิปัญญา  ก็เหมือนกับตักน้ำ หยดน้ำทีละหยดลงตุ่ม จนกว่า...มันจะล้นน่ะ เต็มแล้วยังไม่พอ กูก็จะเติมจนกว่ามันจะล้นน่ะ ...นั่นน่ะเขาเรียกว่าบริบูรณ์

ทีนี้มันไม่ต้องถามใครแล้ว มันจะตอบตัวเองได้เลย ...นั่นน่ะ ด้วยความบริบูรณ์ภายใน มันเกิดความรู้ความเข้าใจเป็นปัจจัตตัง ...ไม่สงสัยในที่ทั้งปวง ไม่สงสัยในธรรมทั้งหลาย ไม่สงสัยในตำรับตำรา ไม่สงสัยในการกระทำที่ไม่เหมือนกันของสัตว์บุคคล มันหมดความสงสัยนี่

อย่าปล่อยให้ความสงสัยนั้นมาดึงเวลาของความรู้ตัวไป เสียเวลา ไร้สาระ ...บอกมันเลย เวลามันขึ้นมานี่ "ไร้สาระๆๆ ...ไม่เอาๆๆ" แล้วก็กลับมาอยู่...กลับมารู้กับกาย

ถ้ามันบากบั่นตั้งหน้าตั้งตา ตั้งอกตั้งใจ ใส่อกใส่ใจ ขวนขวายอยู่ในที่นี้ที่เดียว อย่างนี้อย่างเดียวนี่ พระอรหันต์นี่ไม่อดไม่จนเลยในโลก ...เดี๋ยวนี้พระอรหันต์ในโลกนี่ยิ่งกว่าไปร่อนทองในมหาสมุทรอีก 

ทำไมมันหายากเหลือเกิน ...ก็มันไม่ทำงานที่เป็นพระอรหันต์ทำน่ะ คืองานในมรรค มันไปทำงานของเหล่าปุถุชนคนในโลกเขาทำกัน คือช่างคิดเพ้อเจ้ออย่างนี้ พระอรหันต์เลยหายาก ...เพราะมันไม่ทำงานในมรรค

นานๆ ถึงจะมีใครสักคนที่เสียงแข็งขึ้นมา แล้วก็มาบอกมาสอน แล้วแป๊บนึงก็ตายจาก ...ยังคงไว้ให้แต่ธรรมวิธี ...เหมือนกับมากระเทือนโลกทีนึงน่ะ สั่นประสาทปุถุชนน่ะ 

หลวงปู่มั่น หลวงตาบัว หลวงพ่อเทียน อย่างนี้ ...นี่ตายหมดแล้ว แต่ว่าแรงสะเทือนของท่านยังพอมี  เขาเรียกอาฟเตอร์ช็อค ยังค้างอยู่ ...เดี๋ยวมันจะหมดไปนะ อาฟเตอร์ช็อคน่ะ ไอ้พวกเรายังทันอยู่กับอาฟเตอร์ช็อคนะนี่

เห็นมั้ยว่าการประกาศธรรมของแต่ละพุทธสาวกนี่ มันก็แล้วแต่กำลังของท่านว่าจะเขย่าได้แรงและนานขนาดไหน ...แต่ว่าโดยธรรมชาติของความเป็นไตรลักษณ์ คือมันต้องมีความเสื่อมลง ถอยลง แล้วก็ดับลงไป

แล้วการกว่าที่จะเกิดขึ้น บังเกิดขึ้น อุบัติขึ้นของความเป็นธรรมธาตุ  ธรรมขันธ์ หรือชำระจนเกิดเป็นธรรมธาตุ ธรรมขันธ์ขึ้นมา แล้ววิสุทธิจิตขึ้นมานี่ ...นานขึ้น จะทิ้งระยะห่างขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ 

แล้วการเขย่าอาฟเตอร์ช็อคนี่ จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ...เพราะอะไร ...เพราะกิเลสมันหนา กิเลสของปุถุชนในโลกต่อไปนี่ บอกแล้วว่ามันเป็นแบบ 

"กูเกิดมานี่ กูไม่ได้เจริญหรือเป็นไป หรือใช้เวลาให้หมดไปในการเจริญมรรค หรือบริบูรณ์ศีลสมาธิปัญญา ...กูเกิดมาเพื่อบริหารกิเลสน่ะ บริหารความอยาก บริหารอดีต-อนาคตให้เกิดความเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา" ... เหล่านี้คือมันจะหนาแน่นๆ

เพราะนั้นการอุบัติขึ้น การประกาศธรรมของเหล่าอรหันต์ หรือต่ำกว่าอรหันต์ลงมาจนถึงโสดาบันนี่ มันเหมือนกับหยดน้ำลงไปในมหาสมุทรน่ะ ...แล้วถามว่ามีคลื่นเกิดมั้ย หนึ่งหยดน่ะ มันแทบจะไม่มีอาการปฏิกริยาตอบสนองแต่ประการใดเลย ...แทบจะอย่างนั้นนะ

ในยุคนี้สมัยนี้ เราก็ถือว่าเป็นยุคปลายๆ ของกรรมฐานแล้ว  สมัยเรายังเด็กยังหนุ่มนี่ โด่งดังมาก ครูบาอาจารย์เต็มเลย ไล่ตั้งแต่หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่หลวงตาเยอะแยะ 

ไปไหนเจอแต่กรรมฐานเต็มไปหมด หันทางไหนก็เจอพระ หันทางไหนก็เจออรหันต์ ...เดี๋ยวนี้ หาๆๆ หาแต่หัน หันไม่เจอแล้ว หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอหัน เจอแต่เหๆ (หัวเราะกัน)

แต่ก่อนน่ะ มันไม่ใช่ว่าเหมือนล้อเล่นนะ สี่สิบห้าสิบปีก่อนนี่ พระอรหันต์มีแทบทุกจังหวัด จังหวัดนึงตั้งสอง-สามองค์น่ะ  แล้วก็ตายลงๆ เหมือนใบไม้ร่วง ...ไอ้พวกเราก็หูหนักตาหนักอยู่อย่างนี้ ไม่ได้กระเทือนเข้าไปถึงใจที่กิเลสมันห่อหุ้มเลย

เพราะนั้นการที่ เหล่าที่ตามหลังมานี่ กำลังก็จะน้อยลง ...ต่อให้เป็นหันต์จริงๆ ไม่ใช่หันเล่นๆ ก็ตาม  แต่ว่าการที่จะไปเขย่า...ระดับหลวงปู่มั่นนี่ เขาเรียกว่าสิบริกเตอร์ ระดับลูกศิษย์นี่แปดริกเตอร์ เข้าใจรึเปล่า จะอ่อนลงนะ มันไม่เท่ากันน่ะ

เพราะนั้นลูกศิษย์ของพระอรหันต์ระดับสิบริกเตอร์นี่เท่าไหร่ ที่ลูกศิษย์ท่านเป็นพระอรหันต์นับร้อยนับไม่ถ้วน แล้วลูกศิษย์ของลูกศิษย์ที่เป็นพระอรหันต์ก็น้อยลงไปเรื่อยๆ 

เห็นความเสื่อมทรามลงมั้ย  เห็นความยากลำบากกันในการที่จะกลั่นกรองขึ้นมามั้ย จะให้ได้เป็นเพชรน้ำเอก เพชรน้ำหนึ่งขึ้นมานี่

แล้วถ้าระดับหลานศิษย์เหลนศิษย์ลงมาอีกล่ะ ...อาจจะไม่ได้หันน่ะ อาจจะหาหันไม่เจอเลยก็ได้ แล้วก็ต่ำว่าหันลงมาทั้งสิ้น


(ต่อแทร็ก 12/5)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น