วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 12/1




พระอาจารย์

12/1 (560706A)

6 กรกฎาคม 2556



พระอาจารย์ –  การสอนตัวเองน่ะ สำคัญกว่าสอนคนอื่น ...จิตน่ะมันคอยแต่จะอวดเก่ง อวดรู้อยู่เรื่อย ... บ้าธรรม เวลาปฏิบัติไปปฏิบัติมาแล้วไม่ได้อยู่คนเดียวนี่ แล้วมันจะบ้า 

ขนาดอยู่คนเดียวยังบ้าเลย เวลาธรรมแตกตัวออกมานี่ ...ไอ้ที่ไม่เคยรู้ก็รู้ ไอ้ที่ไม่เคยเข้าใจ มันก็เกิดความเข้าใจแบบหลั่งไหลออกมาเหมือนสายน้ำ ถ้าไม่ได้อยู่คนเดียว วิเวกคนเดียวนี่ มันไม่มีทางยั้ง ...มันก็เกิดอาการเห่อเหิม สำคัญตนขึ้นมา

เพราะนั้นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกองค์ ท่านบอกไม่ให้คลุกคลี จนกว่าจะแน่ใจในธรรม จนกว่ามันจะสมดุลกันจริง คือธรรมชาติจริงๆ

เรานี่ไม่ได้สอน เราไม่ได้บอกคนมายี่สิบสามสิบปีแล้ว ...ขนาดพูดตอนแรกยังไม่มีใครฟัง เพราะมันฟังไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) ...ไม่รู้กูโง่หรือมันโง่ มันฟังไม่รู้เรื่อง 

ถ้าเราจะโง่ ...พูดภาษาคน แต่มันฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ก็เลยไม่พูด ...มาพูดกับหมาดีกว่า เลี้ยงหมา คุยกับหมา  รู้สึกมันรู้เรื่องนะ มันไม่โต้เถียง ไม่ขัดแย้ง มันไม่มีปฏิฆะ

ขนาดทุกวันนี้  ผู้ที่พากันมา ก็มีบางคนบางทีก็ลุกหนีหน้าตาเฉย ...ไม่รู้ใครโง่กว่าใคร


โยม –  ค่ะ วันนั้นโยมชวนมาคนนึง เขาก็ลุกหนี ตอนนั้นโยมเสียความรู้สึกมากเลย

พระอาจารย์ –  อย่าไปพามาสุ่มสี่สุ่มห้า ... เรานี่ เรารู้ตัวของเรานี่ รู้ว่าการสอนของเรานี่จะเป็นยังไง คนจะรับได้แค่ไหน อย่างไร ... เพราะนั้นการบอกการสอนนี่  อยู่ดีๆ มันไม่ใช่ง่ายๆ นะ ...ไม่ใช่นึกจะพูดนึกจะสอนก็สอนกันไป

พระธรรมนี่เป็นหนึ่ง ยังไงก็เป็นหนึ่งอยู่วันยังค่ำ ไม่มีคำว่าสอง ...ไม่งั้นท่านไม่เรียกว่า เอกายนมรรค หรอก ...แต่คราวนี้ว่าใคร...คนที่พูด คนที่สอนน่ะ และคนที่จะนำพาการปฏิบัตินี่  มันจะเข้าสู่ตรงนี้ได้เร็วไหมแค่นั้นเอง

แล้วมันเข้าได้จริงหรือไม่จริง ...ถ้ามันยังเข้าไม่ถึง เข้าไม่จริง  มันก็จะไม่เข้าใจ ...ไม่เข้าใจอะไร  มันไม่เข้าใจในวิถี วิถีแห่งการเข้าถึงจุดนี้ในทั้งหลายทั้งปวง

แต่ถ้ามันเข้าถึงเมื่อไหร่นี่ มันจะเข้าใจทุกวิถี ...มันจะไม่เห็นความแตกต่างในอุบายเลย แล้วก็จะไม่ไปขัดแย้งกับอุบายด้วย ...แต่ไอ้คนที่มันขัดแย้ง แปลว่ามันยังเข้าไม่ถึงวิถีหนึ่ง...ธรรมหนึ่ง จิตหนึ่ง ...ตรงนี้ ปัญหามันอยู่ตรงนี้ 

เมื่อมันยังเข้าไม่ถึงจิตหนึ่งธรรมหนึ่งเมื่อไหร่ แล้วมันยังคาอยู่แค่อุบาย หรือวิถีจิต หรือวิถีแห่งการปฏิบัติ ...ปัญหาอยู่ตรงนี้ ความเสื่อมถอยของมรรค ความเสื่อมถอยของศีลสมาธิปัญญาอยู่ตรงจุดนี้

ไอ้คนน่ะไปโทษเขาไม่ได้หรอก มันโง่อยู่แล้ว  เหมือนกับคนตาบอดจูงคนตาบอดน่ะ ... ไอ้คนตาบอดที่มันจูงคนแรกนี่ มันเหมือนกับมันลืมตาเบลอๆ  แต่อ้พวกคนเดินตามตาบอดก็คือบอดสนิท ...ทีนี้ก็ลากกันไปก็จูงกันมา ยักแย่ยักยันขึ้นเขาลงห้วยกันไป

แต่ไอ้คนที่ตาที่ดีแล้วนี่ มันก็จะเห็น มันก็จะสามารถน้อมนำให้มองไปสู่เส้นทาง หรือว่าเอกายนมรรค หรือว่าทางสายเอก หรือมัชฌิมาปฏิปทา  โดยความที่...ต่อให้มันลงมาจากยอดดอยหรือว่าขึ้นมาจากก้นมหาสมุทร กูก็พาลงสู่เส้นทางได้ทั้งนั้นแหละ

แต่คราวนี้ว่า มันพร้อมจะเดินมั้ยล่ะ มันก็ปัญหา...ตาบอดยังเสือกอวดรู้อีก รู้ดีอีก เก่งกว่าอีก ...เกิดความอหังการ ซึ่งมันก็ติดตามเจ้าของนั่นแหละ 

เลยกลายเป็นผู้ปฏิบัติเดี๋ยวนี้ ยิ่งปฏิบัติมากขึ้นไปเรื่อยๆ  ด้วยความไม่รู้ไม่ชี้ ด้วยความลูบๆ คลำๆ ... มันกลับกลายเป็นมัคคาวรณ์(ห้ามมรรค) สัคคาวรณ์(ห้ามสวรรค์)โดยไม่รู้ตัว 

มันก็ปิดบังมรรคผลนิพพานด้วยการปฏิบัติของตัวเจ้าของน่ะแหละ ...ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งห่างมรรคห่างผล ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งห่างศีลสมาธิปัญญา ไปลุ่มหลงมัวเมากับบุญ อานิสงส์ของบุญบารมีที่มันเป็นโลกธรรมน่ะ

ถ้าดูเยี่ยงอย่างครูบาอาจารย์ทุกองค์นี่  การสำเร็จมรรคผลนิพพานของแต่ละท่านแต่ละองค์นี่ การดำรงชีวิต การดำเนินชีวิตนี่ ท่านไม่ได้อยู่ในเมืองนะ ท่านอยู่เป็นเอกเทศ อยู่ในป่า ท่านอยู่ในที่ไม่คลุกคลีชุมชน 

ไปดูไอ้ที่สำเร็จของท่านน่ะ ดูกระต๊อบหลวงตามหาบัว ดูที่หลวงปู่มั่นนี่ ไปดูแต่ละที่ ...ถ้ำเชียงดาวนี่ ใครเคยไปบ้าง ว่าหลวงปู่มั่นท่านอยู่ที่ถ้ำเชียงดาวนี่ ตรงไหน ท่านก็อยู่ในถ้ำ

ถ้ำปากเปียงนี่ก็อีก เคยไปไหม ...ไปนั่ง อยู่ในนั้น...เย็น บารมีของธรรมที่มี ...แต่ไอ้คนอยู่มันไม่เย็น ถ้ำมันเย็น เย็นที่ถ้ำ แต่จิตมันไม่เย็น ... คนพอออกไป กิเลสมันก็ร้อน 

กิเลสคือความเร่าร้อน พระธรรมคือความเย็น ...กายใจเป็นของเย็น แต่ว่าถูกความเร่าร้อนห่อหุ้มไว้ให้อยู่ในอำนาจของกิเลสอาสวะแค่นั้นเอง ... ถ้าตั้งหน้าตั้งตาชำระขัดเกลา มันก็เข้าสู่ความผ่องใสภายใน 

มันไม่ได้ว่าต้องไปสร้างความผ่องใสขึ้นมา ...มีแต่มันจะสร้างความเย็นขึ้นมา ความเย็นก็มี เป็นอมตะ

ไอ้ที่มันมาเกิดมันมาตาย ซ้ำๆ ซากๆ นี่ เป็นสังสารวัฎ เพราะอวิชชานี่ มันมาจับ ...อวิชชานี่มันเป็นไตรลักษณ์นะ มันไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน 

อาสวะอวิชชานี่ เป็นของที่ไม่เที่ยง เป็นของเกิดดับ เป็นของที่ไม่มีตัวตน ...แต่มันมาจับอยู่กับสิ่งที่มันเที่ยง สิ่งที่มันไม่เกิดไม่ตายคือใจ นี่แหละมันเลยเป็นสาเหตุแห่งการหมุนวน ที่ไม่จบสิ้น ...เพราะมันมาจับอยู่กับสิ่งที่ไม่มีวันตาย

ตัวใจ ตัววิสุทธิใจ วิสุทธิธาตุ มันเป็นความมีชีวิตโดยเป็น alive ที่ไม่มีวันแก่วันตาย ...แต่ด้วยความเศร้าหมองของอวิชชานี่มันมาหุ้มสิ่งที่ไม่มีวันตาย มันเลยพาเกิดพาตายไม่จบไม่สิ้น

แต่เมื่อใดนี่...ที่ชำระปัดเป่าขัดเกลา สาง ล้างออก ซึ่งความเศร้าหมองของกิเลส อุปกิเลสที่ห่อหุ้มใจนี่ อุปกิเลสสิบ สังโยชน์สิบ คือกิเลสที่มันร้อยรัดปกคลุมอยู่ ...ใจก็คืนสู่ความบริสุทธิ์แบบไม่หวนคืน 

พอมันไม่หวนคืนนี่ ก็คืนสู่สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ คือเป็นอมตะ  เพราะไม่มีใครทำลายความเป็นใจได้ ...แต่ไม่เกิดอีก เพราะไม่มีอวิชชามาห่อ

ไอ้ที่มันเกิดเป็นขันธ์...เป็นขันธ์  เพราะอวิชชามันสร้างขันธ์มาห่อ มาล้อมรอบใจไว้  แต่พอมันชำระออก มันไม่มีขันธ์มาหุ้ม มันก็คืนสู่ความเป็นอมตะ เหนืออนัตตา เหนือไตรลักษณ์ขึ้นไป  ไม่มีซากของโลก ซากของธรรมชาติใดๆ มาเกาะเกี่ยวปกคลุม หวนคืน

มันเหมือนกับที่ท่านเปรียบไว้ ใจที่บริสุทธิ์ชำระแล้ว ไม่หวนคืนแล้วนี่ ...เหมือนถือเมล็ดงาไว้กำมือนึงแล้วโยนลงไปบนปลายเข็มหมุด  ถามว่าเมล็ดงาสามารถจะตั้งอยู่บนปลายเข็มหมุดได้มั้ย ...มันเป็นไปไม่ได้ นั่นแหละเขาเรียกว่าอนาลโย

เมื่อใจที่มันชำระด้วยตัวของมรรคโดยสมบูรณ์ เรียกว่าพรหมจรรย์นี่ สิ้นสุดพรหมจรรย์แล้วนี่ ... กิเลสไม่หวนคืน อาสวะไม่สามารถมาจับได้อีกต่อไป  เพราะมันลบล้างเชื้อที่มันคอยยึดคอยโยงใยไว้ โยงใยในสามโลก โยงใยในธาตุ โยงใยในรูปธาตุนามธาตุ

ตราบใดที่มันยังมีเชื้ออยู่ แล้วมันยังติดอยู่แนบแน่นหน้าใจนี่  มันก็มีเชื้อที่จะไปเกาะเกี่ยว เกาะกุม หมายมั่น ยึดมั่น ถือมั่น กับอะไรก็ได้ทุกอย่าง...ทั้งจับต้องได้ ทั้งจับต้องไม่ได้ กูเอาหมด เพราะมันมีเชื้อกิเลส

ถ้ามันไม่เข้าสู่จุดนั้น ยังไม่เห็นความดับไปถึงที่สุดที่เรียกว่าขยญาณยังไม่เกิดจริงๆ นี่ ยังไว้วางใจไม่ได้ ...ถ้าผู้ปฏิบัติจริงๆ นะ จะไม่ไว้วางใจเลย ถ้ายังไม่เกิดขยญาณคือญาณตัวสุดท้าย ...ท่านเรียกว่าอาสวักขยญาณ 

มันจะไปเห็นขยกิเลส ...ไม่ใช่ขยะนะ ขย...มันเป็นอาสวะตัวสุดท้าย เรียกว่าขยกิเลส ...เพราะนั้นตัวที่เข้าไปเห็นเขาเรียกว่าขยญาณ  แล้วตัวที่ละขยญาณนี่ ท่านเรียกว่าอาสวักขยญาณ

แต่การที่ว่าเรามีความเพียร ... ก็บากบั่นฝ่าฟันไปด้วยลำแข้งของตัวเอง ลำพังของตัวเอง ผิดบ้างถูกบ้าง ได้บ้างเสียบ้าง ...ทำไป  ก็มีแบบ "เดี๋ยวก็สักพักนึงกูก็สำเร็จแล้ว" ...เอ๊ะ สำเร็จง่ายจริงๆ 

ไปอีกสักวันสองวัน เดือนสองเดือน "กูไม่สำเร็จแล้วโว้ย มันน่าจะยังไม่สำเร็จ" นี่ ไม่รู้กี่รอบ เห็นมั้ย ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วกูก็ตั้งสำนักเลย กูก็สอนๆๆๆ แนะนำกันไปกันมา

ขนาดเวลาเราเกิดความรู้ในธรรมภายในขึ้นมานี่ ถามว่ามันมีอะไรมั้ยที่ไม่รู้นี่...ไม่มี  ตรึกขึ้นมาสิ นึกขึ้นมาสิ สัญญานี่ จะเอาอรรถไหน ธรรมไหน ข้อไหน ขึ้นมาปึ้บนี่...แตกหมด แตกออกมานี่เป็นตำราสักสิบเล่มได้มั้ง 

ข้างในนะ ถึงนิพพานหมด ...หมากัดกันต่อหน้านี่ ฟึ่บ นิพพาน  วิจยธรรมยังมี วิจยจนถึงนิพพาน  จิตวิจยะได้หมด  ฝนตก แดดออก คนพูดกันด่ากัน ไม่ได้เป็นธรรม ...กูยังวิจยจนถึงนิพพานได้ด้วยอาการ 


ไม่ได้หลับไม่ได้นอน มันแตกธรรม มันตีธรรม แบบอันไหนที่อ่านมา ตำราเล่มไหน เคยได้ยิน เคยได้อ่าน สัญญามันขึ้นมาหมด ลบล้างหมด เกลี้ยงหมด 

ความหมาย ความเห็น ความเชื่อ ที่ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องอย่างนี้อย่างนั้น  มันแตกกระจัดกระจายหมด ไร้สาระ หมดสาระ ...มันตีแตกหมด


(ต่อแทร็ก 12/2) 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น