วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 12/3


พระอาจารย์
12/3 (560706C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 กรกฎาคม 2556


พระอาจารย์ –  เวลาเราเกิดมากับขันธ์ แล้วขันธ์มันก็อาศัยอยู่ในโลกนี่  จิตผู้ไม่รู้มันพามาเกิดให้ได้ขันธ์ แล้วก็ให้มาอยู่อาศัยในโลก ...ไม่ว่าจะเป็นโลกใดโลกหนึ่งในสามโลกนี่ 

จิตมันออกมา...มันอยู่ในขันธ์นี่ พร้อมกับสภาพความเป็นของเราตัวเรา ตลอดเวลา ...แล้วไอ้สภาพตัวเราของเราที่อยู่ในขันธ์นี่ มันจะอยู่ในสภาพตัวเราของเราที่มีสถานะ มีฐานะ 

มีฐานานุฐานะของมันว่าเป็น “เจ้าของขันธ์”  ผู้จัดการขันธ์ ผู้จัดการโลก ...มันถือสถานะมาพร้อมกับฐานะ...เป็นมานะ เป็นฐานะในตัวของมัน...ติดมาทุกคนแหละ

เมื่อมันมีฐานะหรือว่าถือฐานะในตัวเราที่เป็นเจ้าของขันธ์นี่ มันก็มีหน้าที่อย่างเดียวคือเป็นผู้บริหารขันธ์  ... มันก็เป็นเหมือนว่าถ้าเปรียบขันธ์นี้ ขันธ์ห้านี่เป็นบริษัทหนึ่ง ที่ออกมาจากท้องแม่ก็ได้หนึ่งบริษัทมา

เหมือนกับจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทการค้า นางสาว กอ ขอ คอ นาย กอ ถึงฮ.นกฮูกก็ตาม  ก็เกิดบริษัทจำกัดขึ้นมา...แล้วก็มี “เรา” เป็นเจ้าของบริษัท อยู่ในสถานะประธานบริษัท ซีอีโอ ตำแหน่งใหญ่มากเลย

จะลุกจะนั่ง จะยืนจะเดิน จะหมุน จะหัน จะชี้นิ้ว จะหยิบอะไรเข้าปากนี่... "กูสั่งได้หมด"  เพราะว่าบริษัทนี่เป็นของเรา  อยากหาความสุขก็พามันไป...ที่เที่ยวบ้าง ที่เพลิดเพลินเจริญหูเจริญตา เจริญกายเจริญจิต ตรงไหนก็ไป ...นี่ บริษัทนี้ หาผลกำไรอย่างนี้

แล้วบริษัทไหนมันจะขยายอาณาเขตมา กูก็จะต้องต่อต้านไม่ให้โลกเข้ามายุ่งเกี่ยว หรือว่าให้โลกรอบๆ ตัวนี่มันเป็นสถานะที่จะให้ผลกำไรคือความสุข ...บริษัทมันก็ต้องทำกำไรน่ะ หาผลประโยชน์เข้ามาหล่อเลี้ยง...เป็นความสุข

ถ้าคนในโลกก็บอกว่าเป็นเงิน ถ้าใครมีเงินเยอะมีความสุขเยอะ ถือว่าบริษัทนั้นประสบความสำเร็จ เดี๋ยวเอาไปขายตลาดหุ้น จดทะเบียนลงเป็นมหาชน ...เริ่มใหญ่ขึ้นแล้วนะ ก้าวหน้าไง 

พอเป็นมหาชนเมื่อไหร่ เดี๋ยวจะมีผู้เข้ามาซื้อหุ้นถือหุ้นตาม เพราะเก็งกำไร เพราะบริษัทนี้ผลกำไรมันดี ดูดี ก็เลยซื้อหุ้นเผื่อจะได้กำไรติดไม้ติดมือกลับไป...คือความสุข อย่างนี้


แต่ว่าการปฏิบัติการภาวนาของพวกเรา พุทธสาวก สาวิกา แล้วน้อมนำเอาศีลสมาธิปัญญาเป็นเครื่องดำเนิน ฝึกหัดขัดเกลา “ตัวเรา” แล้วนี่

เมื่อ “ตัวเรา” นี่มันถูกน้อมนำด้วยศีลสมาธิปัญญา ไอ้ตัวศีลสมาธิปัญญานี่ หรือว่าตัวมรรคนี่ มันจะไปทำให้สถานะของ “เรา” มันลดค่าด้อยค่าลง

จากสถานะที่มันถือตัว ถือมานะในตัวของมันเองที่ได้กับขันธ์ เกิดมาอยู่ในขันธ์  จากที่มันเคยใหญ่โตมาก คือเป็นระบบซีอีโอ เป็นประธาน แล้วมันควบคุมระบบของขันธ์ได้ทุกองคาพยพนี่  

พอฝึกไป ศีลสมาธิปัญญาขัดเกลาไป ...มันจะลดสถานะของ “ตัวเรา”มาอยู่ในฐานะต่ำต้อยติดดิน อยู่แค่ปากประตูบริษัท ...ให้มันลดสถานะลงเป็นแค่ยามเฝ้าสำนักงาน ...ไม่มีสิทธิ์บริหารจัดการบริษัทนี้

เพราะบริษัทนี้ล้มละลายแล้ว ไม่มีใครถือเจ้าของอีก มันเป็นบริษัทล้มละลายแล้ว...ร้าง  เขาก็เลยปลดตำแหน่งทุกตำแหน่งออก เหลือให้เป็นแค่ยามเฝ้าสำนักงาน ร้างๆ นี่แหละ

เฝ้ายังไง หน้าที่ของยามทำยังไง ...ใครเข้าก็ให้เข้า ใครออกก็ให้ออก แล้วก็รู้ว่าไอ้นี่เข้า ไอ้นี่ออก  ไอ้นี่เข้าแล้วยังไม่ออก ไอ้นี่ออกแล้วไม่เข้ามาอีก ...เออ ยาม นี่คือหน้าที่ของยาม 

ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปต่อเติมเสริมแต่ง หรือว่าห้ามคนนั้น ไม่ห้ามคนนี้ หรือไปเชิญแขกคนนั้นคนนี้เข้า ...ยามก็คือยาม อย่าออกนอกสำนักปากประตูสำนักงาน คืออายตนะหก อย่างนี้

แต่ถ้ามันไปเฝ้าอยู่จุดใดจุดหนึ่ง ถ้าไปเฝ้าที่ตาเดี๋ยวมันก็แอบไปเข้าทางหู แล้วยามก็ไม่ทัน  ถ้ามันไม่ทันว่าไอ้นี่แอบเข้ามาแล้วมันมาซ่อนอยู่ในบริษัทนี้ มันมาทำลายล้างบริษัท มาก่อวินาศกรรมวางระเบิดเป็นจุดเป็นหย่อมๆ ไป นี่ ยามไม่ดี

อ้าว ถ้าไปเฝ้าที่หู ทางช่องหน้าต่างนี้  มันเข้าทางปาก ทางจมูก  ก็ไม่เห็น ไม่ทันอีก ...ก็มันมีตั้งหกทางเข้าออกนี่น่ะ  ทำไปทำมา ...คือยามก็จะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ น่ะ ก็บอกว่า...เออ มันมีที่รวมจุดเดียวคือใจ

พอรวมลงที่ใจนี่ จะเข้าทางประตู ทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย  ถ้าอยู่ที่ใจแล้วนี่ มันจะกระเทือนมาที่ใจ มันมีการรับรู้ที่ใจได้ โดยที่ไม่ต้องลุกไปดูที่ประตูว่า "เอ๊ะ มันเข้าทางประตูหรือมันเข้าทางหน้าต่าง" 

มันจะรู้ที่ใจ ... นี่ มันเริ่มฉลาด มันก็...เออ อยู่ตรงนี้มันก็ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาทางหู ทางตา เดี๋ยวก็เข้ามาทางนั้น เดี๋ยวก็ออกมาทางนี้อีกแล้ว ...มันเหนื่อย มันก็อยู่ที่เดียว มันอยู่ที่ใจ

เฝ้ารู้ดูเห็นอยู่ที่นี้ ที่ปัจจุบันกายปัจจุบันรู้นี่ อยู่รวมกัน ...เดี๋ยวก็จะเห็นสำนักงานนี่มันร้างๆๆๆ  เพราะว่ามันไม่มีใครมาทำนุบำรุงสำนักงานนี้ มันก็แสดงความเป็นจริงของมันออกมา 

ซึ่งมันไม่ได้โอ่โถงงดงาม หรือมันไม่ได้ว่าเป็นของเลวร้ายอย่างยิ่ง ...มันก็ยังตั้งอยู่ตามสภาพ ดำรงคงสภาพเท่าที่ไม่มีใครเข้าไปปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนแปลง 

มันก็จะเป็นสภาพที่แท้จริงที่เขาจะแสดงไปตามลำดับลำดา ไม่มีการประทินผิวทาสีฉาบปูนเวลามันกะเทาะออก ...ยามไม่มีหน้าที่นะ เพราะไม่มีงบประมาณ และก็ไม่มีฐานะเพียงพอที่จะไปทำมันได้ มันเกินฐานะ 

มันเกินฐานะ ...มันก็อยู่กันแบบเจียมเนื้อเจียมตัว เฝ้าไป รู้ไป ดูไป เห็นไป ...มันจะเสื่อม มันจะแตก มันจะร้าว ก็ดูไปรู้ไป แก้ไม่ได้ ไม่ได้อยู่ในฐานะ

ซึ่งถ้ามันเป็นบริษัทเดียวที่มันตั้งอยู่กลางทุ่งกลางป่ากลางดงบนยอดดอยนี่ มันก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก  แต่ถ้ามันอยู่ในหมู่บริษัทอื่น มันก็จะเริ่มฟุ้ง...เฟ้อแล้ว

'แบบว่าพอดีไอ้บริษัทข้างๆ มันดูเจริญงอกงาม กูเห็นมากับตานี่ว่าแต่ก่อนมันเป็นชั้นเดียวเท่ากันกับกู โห ทำไมตอนนี้มันเป็นคอนโด' ...เอาแล้วมึง เริ่มเปรียบเทียบ อยากให้บริษัทของกูนี่ อย่างน้อยก็สักครึ่งนึงของคอนโดมันแล้วกัน 

ยิ่งเห็นคนเข้าคนออก หูย แต่งตัวสีสันสวยงาม ลงสื่อประชาสัมพันธ์ว่าบริษัทนี้ๆ มีสาขาตั้งสองร้อยแห่ง มีสาขาย่อยอีกต่างหากด้วยนะ 'ฮู้ ทำไมเราเป็นตึกเก่าๆ ซอมซ่อๆ ธรรมดาอย่างยิ่ง'

นี่เริ่มไม่ทำหน้าที่ยามแล้ว เริ่มฝันหวาน แน่ะ  เพ้อเจ้อ เริ่มมีความอยาก กระสันขึ้นภายในลึกๆ เรื่อยๆๆๆ สะสม พอกพูน ...กูไม่ดูแล้ว กูไม่เป็นยามแล้ว ไปนั่งคิดว่าเมื่อไหร่บริษัทนี้มันจะเป็นคอนโดอย่างเขา

นี่พอกพูนความอยากอยู่ภายใน งานการไม่ทำแล้ว  ก็คิดว่า “ทำไมตอนนี้กูมาเป็นยาม พอมาเป็นยามเข้าหน่อยบริษัทมันดูทรุดโทรมลงทุกทีเลย ... แล้วกูจะมานั่งจับเจ่าอยู่ตรงนี้ทำไม ถ้ากูนั่งอยู่อย่างนี้ กูก็จะสร้างคอนโดไม่ได้ 

กูก็ออกนอกบริษัท ระเหเร่ร่อน ขอเขากินก็เอา ได้เงินสักบาทสองบาทก็สะสมไว้ เอามาตกแต่งบริษัท ที่แต่ก่อนกูก็เป็นซีอีโอ ...นี่ มันอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมอง

ทำไมมันอดไม่ได้ ก็เพราะมันเกิดมาคู่กับคนในโลก แวดล้อมอยู่ด้วยแวดวงของเสือสิงห์กระทิงแรด มันก็ต้องเห็นอยู่แล้วว่าหนีไม่ได้ อดเปรียบเทียบไม่ได้

พระพุทธเจ้าบอกให้ย้ายบริษัทไปอยู่ในทุ่งนู่น กลางป่าเขาลำเนาเงื้อมถ้ำ ชะโงกหินชะเงื้อมผา รุกขมูล ป่าช้า ห่างไกลผู้คน ทีนี้ยามก็นั่งหง่าวแล้วมึง

แต่ถ้ามันนั่งอยู่ในหมู่บริษัท แล้วมันก็คอยส่องไปทางนู้น หันไปทางนี้ก็เจอ  มันจะนั่งอยู่กับที่ไม่ได้นาน มันจะอยู่กับความรู้ตัวไม่ได้นาน ...เพราะมันอดไม่ได้ที่จะต้องไปหา ไปมี ไปเป็น  

เพื่อมาสะสม มาสร้างสถานะของขันธ์ มาสร้างสถานะของเรา มาเพิ่มตำแหน่งฐานานุฐานะของเรา...ให้มันสูงขึ้น พอฐานานุฐานะสูงขึ้น เงินมากขึ้น มันจะได้มาสร้างขันธ์ให้อลังการงานสร้างขึ้น

เพราะกายนี่ มันก็รู้ว่าได้แค่นี้ แค่เอาแป้งมาทาๆๆ ถูๆๆ อยากหอมก็เอาน้ำหอมพรมๆ  แล้วก็เอาผ้าผ่อนมาห่อหุ้มให้มันสวยงามตามเทรนด์ตามรูปแบบ นี่ ได้แค่นั้น

แต่ที่มันจะอลังการงานสร้างคือภายในนั่นน่ะ อารมณ์และจิต ตรงนี้มันสร้างได้ไม่หยุดเลย ...แข่งกันในจิต แข่งกันดี แข่งกันเก่ง ...แข่งกัน 

มีอะไรดีๆ เหนือกว่า พอได้ไปอวดไปโชว์ ...ถ้าได้อวดได้โชว์แล้วไอ้เจ้าของตึกข้างๆ เขา "อื้อหือ" นี่ แหม มันภูมิใจ นอนตายตาหลับแล้ว ...แล้วก็เกิดมาแข่งกันใหม่ อย่างนี้

แต่เมื่อใดที่ศรัทธาน้อมนำ โอปนยิกธรรม สามตัวสี่ตัวนีี้คือมรรค...คือศีลสติสมาธิปัญญานี่ มาเป็นบทบริกรรมนำพาดำเนิน ...มันก็จะลดสถานะของตัวเองหรือตัวเรา ให้มันต่ำต้อยด้อยค่าลงไป

ต่ำขนาดที่เรียกว่าเขาด่าให้ข้างหูเลย หันมาเสร็จ “ด่าใครน่ะ นึกว่าด่าเรา” ...นี่ เพราะมันไม่มี “ตัวเรา”  หาตัวเรามันแทบไม่มีหน้าชูคอออกมารับเสียงเลยน่ะ 

นี่ มันด้อยค่าลงไปจนหาตัวตนของมันแทบไม่เจอน่ะ จนมันเหลือเป็นแค่อณูเล็กๆ ที่พร้อมจะแตกจะดับเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น ...นี่ อำนาจของศีลสมาธิปัญญา

แต่ถ้าไม่อยู่กับศีลสมาธิปัญญา ไอ้ตัวเรานี่มันจะชูคอ...สูงแบบเกินขันธ์เกินกายอีกนะ  มันออกมาทางจิต ...ไม่มีเรื่องก็ไปคิดไปนึก ไปหาไปสร้าง

เขาพูดแค่นี้ คิดไปต่อเลยว่า 'ไอ้การพูดเท่านี้ของมันนี่ แปลว่ามันจะต้องมากกว่านี้' มันนึกเลย เอาละมึง  นี่ มันหาเรื่องได้นะ ...ทั้งที่ว่าได้ยินมาแค่คำพูดประโยคเดียว 

มันสามารถบอกได้ว่า...ไอ้ที่มันพูดประโยคนี้ได้ ไม่ใช่ธรรมดานะ มันเพราะอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้  นี่ ดีไม่ดีมันไปถึงว่าพ่อแม่มันสั่งสอนมาให้ด่าให้พูดอย่างนี้

นี่จิต นี่ "เรา" นะนี่ ทำงานแบบนั้น หน้าที่ของ “เรา” สันดานของ “เรา” มันจะทำงานแบบอย่างนี้ ...ผลมันจะเป็นยังไง ผลมันก็เป็นเรื่อง เป็นทุกข์  เอาชนะคะคาน เอาถูกเอาผิดกันไปมา เอาคุณและโทษ เอาสุขเอาทุกข์กัน

ถ้าปล่อยให้ “เรา” ทำงานอย่างนี้ ไม่มีคำว่าจบสิ้นได้เลย ... “เรา” มันจะทำงานไปพร้อมกับจิตน่ะ  มันเป็นคู่กันเลย ...จิตเนี่ย มันจะไม่คิดเลย มันจะไม่ปรุงเลย ถ้าไม่มี “เรา” ถ้าไม่มีความรู้สึกของ “เรา”

อย่ามาบอกว่า คิดลอยๆ เป็นแค่ความคิดลอยๆ ไม่เห็นมีเราเลย  นั่นแหละถ้าไม่มีเรา ไม่มีจิตคิดลอยๆ  ก็ลองดูสิ ลองให้มันรู้จริงๆ ดูสิ  ...ถ้ามันรู้จริงๆ แล้วจะไม่มีจิตคิดเลย  

แต่ถ้ายังรู้ไม่จริง รู้ไม่แน่นจริง รู้ไม่รวมจริงนะ ...ยังมีความคิดเลื่อนลอย พร้อมกับความรู้สึกเป็นเราของเรา ลึกๆ  แต่ไม่เห็นหน้าตาของ "เรา" หรอก แทบจะไม่เห็นหน้าตาของ "เรา" ในความคิดลอยๆ เลย  

แต่มีความรู้สึกลึกๆ ที่เป็นอารมณ์ เวทนาในนั้น ... เพราะนั้นไอ้เวทนาของเราในจิต หรือคิดแบบไม่เอาเรื่องเอาราวนี่ คือเวทนาอะไรรู้มั้ย ... อทุกขมสุขมของเรา เฉยๆ เวทนา

ตรงนั้นน่ะเราเข้าเสวยด้วยอำนาจความไม่รู้ โมหะแล้ว แต่ดูแทบไม่รู้ แทบดูเหมือนไม่มีเราเลย ...แต่จริงๆ มีเรารู้สึกเฉยๆ อยู่ในนั้น ไม่เป็นสุขเป็นทุกข์กับความคิดลอยๆ  

ตรงนี้โมหะทำงานอย่างเต็มที่เลย เกิดความประมาท ...ประมาท ปล่อยให้มันไปลอยๆ เพราะไม่เดือดร้อนนี่ ไม่เห็นเป็นทุกข์เลย ไม่เห็นมีเราด้วยนะ แทบจะไม่รู้สึกเป็นเรา

แต่กายกับรู้ปัจจุบันจางคลายไปเรื่อยๆๆ นะ ความเป็นจริงของกาย ความเป็นจริงของศีล ความเป็นจริงของขันธ์ ความเป็นจริงของสมาธิที่ตั้งมั่นของรู้นี่ ถูกมันกลืนกิน มันกลบเกลื่อน มันครอบคลุมไป จน 'หึ้ย หายไปไหนวะ' 

เนี่ย ถึงจุดนึง...ไปจนกว่าจะถึงจุดนั้น นั่นจึงรู้ตัว ...ถึงบอกว่า ไม่ได้นะ คิดลอยๆ ก็ไม่ได้ ..."ไม่ได้" ไม่ใช่ว่าห้ามคิดลอยๆ "ไม่ได้" คือต้องรู้อยู่ ยังไงต้องรู้อยู่ ต้องมีกายอยู่  

อย่าปล่อย อย่าทิ้งขว้าง ศีล สติ สมาธิ ...ถึงแม้จะไม่เป็นปัญญาที่เห็นแล้วก็แยกแยะได้โดยตลอดของกายของจิตก็ตาม  ซึ่งในระดับนี้ปัญญาขั้นแยกแยะระดับนามขันธ์นี้ ไม่ได้เลย ยังไม่เกิดเลย 

เอาแค่ศีลกับสติกับสมาธิก่อน เอากายกับรู้ให้ชัดก่อน ...ต้องอยู่ในรากฐานนี้  ย้ำๆๆ ย้ำรากฐานของสมาธิ ย้ำรากฐานของศีลนี่  เอาให้แน่น เหยียบย่ำลงให้แน่นเลย ให้มันมั่นคงแน่นหนา ไม่เลื่อนลอย ไม่ล่องลอย

ถ้ามันไม่แน่นไม่หนา ไม่มั่นคงนี่  มันจะเลื่อนลอย ล่องลอยแบบนี้ ...อทุกขมสุขมนี่จะพาเลื่อนลอยเป็นโมหะก่อน ...เดี๋ยวมันจะไม่เป็นแค่อทุกขมสุขมแล้ว เดี๋ยวมันจะเริ่มขุ่นๆๆ เริ่มอึดอัด เริ่มกลัว เริ่มกังวล เริ่มสงสัย มึนงง ลังเล จะเริ่มไปชัดเจนขึ้นเป็นทุกข์ก่อตัวขึ้นๆๆ

เพราะว่าฐานของศีล สติ และสมาธิ ต่ำและน้อย ย่ำไม่มั่นคง  มันต้องย่ำๆๆ จนแน่นๆ รู้ๆๆ รู้ลงไป ...แม้จะไม่เป็นทุกข์ ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์ในจิตก็ตาม ในความคิดนั้นๆ ก็ตาม 

ความเผลอไผลไร้สติเมื่อไหร่นี่ โมหะ...มันค่อยๆ ชักลากชักนำให้ออกนอกมรรคไปทีละเล็กทีละน้อยแบบเคลื่อน ค่อยๆ เคลื่อนน่ะ ...เราไม่เห็นอาการของจิตที่มันค่อยๆ เคลื่อนหรอก ในปัญญาระดับมีดบางที่ยังไม่ได้ลับนี่ 

ก็ต้องกลับมารู้กายโง่ๆ ก่อน รู้ซะก่อน  กายก็ต้องชัดขึ้นมาก่อน รู้อาจจะไม่ชัด กายชัดก่อน ความรู้สึกในกายชัดก่อน ...แล้วไม่ต้องหารู้ มันอยู่ตรงที่กายนั่นแหละ ตรงที่ชัดตรงกายนั่นแหละ รู้ก็อยู่ตรงนั้นแหละ 

มันอยู่คู่กันอยู่แล้ว แต่ว่ามันยังแยกตัวออกจากกันไม่ชัดเจน ...เอากายให้ชัดน่ะ รู้ก็อยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องถามหารู้ ไม่ต้องไปควานหารู้ ...มันอยู่ที่เดียวกันนั่นแหละ

เพราะนั้นถ้ากายไม่ชัด แปลว่ามันไม่มีรู้เลย ...  ถ้ากายชัดแปลว่ามันต้องมีรู้อยู่ในนั้นน่ะแหละ ไม่งั้นมันไม่ชัด...ในความรู้สึกของกายในปัจจุบันขึ้นมา


(ต่อแทร็ก 12/4)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น