วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 12/19 (1)


พระอาจารย์
12/19 (561005B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
5 ตุลาคม 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เพราะนั้น...ต้องอดทน นะ ...อารมณ์ที่มันตั้งจังก้าอยู่ข้างในนั้น เดี๋ยวมันก็ตายไปก่อน 

ก็เหลือแต่ “เรา” ผู้นั่ง ...เห็นมั้ย “เรา” ยังไม่ตายง่ายๆ หรอก  มันยังเป็น “เรานั่งเฉยๆ”  เหลือ “เรานั่ง” เหลือ “เรารู้” ว่านั่ง ...นั่น ยังมี “เรารู้ว่านั่ง” อยู่อีกนะ

เดี๋ยว “เรา” ก็จะหายไป ...นี่ ด้วยอำนาจของศีล ด้วยอำนาจของสตินี่ มันเข้าไปแผดเผากิเลสอย่างนี้ มันเข้าไปเจือจางอย่างนี้ ...ตามลำดับ 

อย่าด่วน อย่าเอาเร็ว เอาด่วน  อย่าเอาตำรามากางแล้วก็...ปึ้บเลย จะเอาตามตำราเป๊ะ หรือว่าที่ได้ยินมาเป๊ะเลย  มันไม่ใช่น่ะ ...มันก็ต้องแผดเผากันไปตามลำดับลำดาอย่างนี้

พอมันมีเรานั่ง รู้ว่าเรานั่ง เรากำลังนั่งก็รู้ว่าเรากำลังนั่ง ...เออ มีเรานั่งก็รู้ว่าเรานั่ง  ดูมันไป รู้มันไป เดี๋ยวก็จะเห็นเองว่า...เอ๊ะ ก็มีแค่รู้กับนั่ง ...จริงๆ แล้วมันมีแค่รู้กับนั่งนี่หว่า 

เนี่ย บางทีก็เห็นตรงนี้ขึ้นมา แล้วก็หาย ...ไม่เป็นไร อย่าไปหมายมั่นเกินไป อย่าไปหมายอดีตอนาคต ไปหมายที่มันแล้วมา หรือที่มันยังมาไม่ถึง

การปฏิบัติ...มันเป็นเรื่องง่ายๆ ...ทำให้มันง่าย อย่าไปทำให้มันยาก อย่าทำให้มันมากเรื่อง ... มันเป็นเราอีกแล้วก็เห็นมันเป็นเราอีกแล้ว 

รู้หายไป ดูเหมือนรู้หายไป กลายเป็นเรารู้ว่านั่งแทน ก็รู้เฉยๆ อย่างนี้ ...ทำไปซ้ำๆ ซากๆ วนเวียนๆ อยู่ในวิถีนี้ ตรงนี้ท่านเรียกว่าการเจริญมรรค 

นี่คือการเจริญมรรคนั่นเอง ไม่ใช่เจริญสมุทัย คือส่งออกนอก คิดไปเรื่อย ปรุงไปเรื่อย หาไปเรื่อย พูดไปเรื่อย อดีตอนาคตไปเรื่อยเปื่อย เขาเรียกว่าส่งออกนอก...ไม่เอา 

กลับมาอยู่ในนี้ ...ถ้าอยู่ในนี้ก็พยายามควบคุมให้มันอยู่ในกรอบ ไม่ส่งออกนอก  รักษาด้วยสติ กำกับด้วยสติ ตั้งมั่นอยู่ภายใน ให้มันเกิดความแข็งแกร่ง ทนทานอยู่กับรู้อยู่กับปัจจุบัน 

นั่งกับปัจจุบัน ยืนกับปัจจุบัน  นั่งอยู่ในนั่ง เดินอยู่ในเดิน ยืนอยู่ในยืน หยิบจับอยู่ในหยิบจับ ไม่ออกนอกอาการของกายที่มันปรากฏ ...นี่เรียกว่าพยายามรักษาจิตให้มันอยู่ในกรอบ

เพราะไอ้จิตมันมีหลายล้านดวง ...การที่เอาสติมาระลึกรู้นี่ เหมือนแบ่งจิต มันเหมือนแบ่งจิตมาหนึ่งดวง ให้มันมาทำหน้าที่รู้และเห็นตัวมันเอง คือตัวขันธ์ตัวกาย

แต่ในขณะที่มันแบ่งมาเป็นจิตหนึ่งดวงที่รู้และเห็นนี่ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปดับทุกจิตที่มันไม่รู้ไม่เห็น คือมันจะออกไปมั่งก็ชั่งหัวมัน ปล่อยมัน มันยังแตกอยู่

แต่ว่ามันทำงานคนละหน้าที่ ...ก็ให้มันทำไป มันอยากทำก็ทำไป  แต่ไม่เอามาเป็นธุระปะปังจริงจังกับไอ้จิตที่มันเหมือนสวะลอยน้ำตามกระแสน่ะ

แต่พยายาม...สตินี่กำกับกับจิตที่แบ่งมารู้แบ่งมาเห็นนี่ ให้มันอยู่ยั้งยืนยง ให้มันเที่ยง ว่างั้นก่อน ...ให้มันมั่นคง ให้มันยั่งยืน ให้มันแข็งแกร่ง ให้มันแข็งแรง

พอมันตั้งมั่น ยั่งยืนมั่นคงขึ้น ไม่ค่อยหลุด ไม่ค่อยกระเด็น ไม่ค่อยล้ม ไม่ค่อยหาย ไม่ค่อยสลาย ไม่ค่อยจาง ...ไอ้จิตที่ถูกแบ่งมาตรงนี้ ท่านเรียกว่าดวงจิตผู้รู้

ไม่เรียกว่าใจนะ... ไอ้ดวงจิตผู้รู้กับใจนี่คนละเรื่องกันเลยนะ ในระดับผู้ภาวนาไม่มีใครเห็นใจหรอก ...แต่ว่าจิตผู้รู้นี่ มันทำหน้าที่คล้ายใจ เออ มันทำหน้าที่รู้และเห็น

ซึ่งถ้าว่าตามตำราหรือว่าตามครูบาอาจารย์ท่านพูดนี่ ท่านก็บอกว่าใจนี่คือธาตุรู้ มีอาการเดียว ไม่เข้าไปประกอบกับธรรมใดธรรมหนึ่งเลย เป็นอสังขตธาตุอสังขตธรรม 

คือมีหน้าที่รู้และเห็น ...แล้วก็มันจะไม่เข้าไปกลมกลืนกับอะไร และไม่มีอะไรมากลมกลืนกับมันได้ ...นี่คือสภาพใจ

แต่ดวงจิตผู้รู้มันก็มีอาการ ลักษณะอาการคล้ายกับธาตุรู้ จึงเรียกง่ายๆ ว่าดวงจิตผู้รู้ ...ไอ้ดวงจิตผู้รู้นี่แหละ คือตัวที่เรียกว่าสมาธิ...คือตัวที่เรียกว่าสัมมาสมาธิ

เพราะนั้นไอ้ตัวศีลก็ตาม สติก็ตาม สมาธิก็ตาม ปัญญาก็ตาม นี่คือมันเป็นสังขาร ...คือมันต้องทำ คือมันต้องประกอบ คือมันต้องเจริญขึ้นมา คือมันต้องสร้างน่ะ

แต่ว่ามันทำหน้าที่ไม่เหมือนกับไอ้จิตที่ส่ายแส่ ไม่เหมือนกับจิตที่มันไขว่คว้า ควานค้น ทะยานอยาก ....ไอ้พวกนี้ มันทำหน้าที่ก่อเกิด มันทำหน้าที่ให้เป็นทุกข์ มันทำหน้าที่ให้ไม่จบไม่สิ้น 

มันทำหน้าที่ให้เกิดการยืดเยื้อ มันทำหน้าที่ให้มีเราเป็นเรา...เข้าไปหา เข้าไปเป็นสุขเป็นทุกข์กับสิ่งต่างๆ ทั้งตัวขันธ์เอง ทั้งตัวนอกขันธ์ ...นี่ มันคนละหน้าที่

แต่ไอ้ตัวเจริญในศีล ที่แบ่งจิตมาทำเป็นหน้าที่ แล้วก็เหมือนกับบังคับหรือว่าควบคุมให้มันทำหน้าที่รู้และเห็นเฉยๆ นี่ มันทำหน้าที่คนละแบบ ...คือมันทำหน้าที่ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ

ทั้งในความเป็นไปของขันธ์ ในความเป็นไปของโลก ในความเป็นไปของจิตที่มันแตกไปกระสานซ่านกระเซ็น ...นี่ ให้เข้าใจและเกิดความยอมรับว่าสภาพความเป็นจริงของขันธ์ของโลกคืออะไร 

พอมันทำหน้าที่ไปๆ ด้วยปัญญาด้วยความเข้าใจ มันก็วาง...วางความเข้าใจผิด วางไอ้ความเข้าใจผิดจากจิตที่มันส่ายแส่ ที่มันไม่รู้แล้วมันก็ไปสร้างเป็นเรา...ตัวเรา 

เป็นความคิด เป็นความเห็น เป็นความสุขของเรา เป็นความทุกข์ของเรา เป็นความอยาก เป็นคุณเป็นโทษ เป็นถูกเป็นผิด เป็นดีเป็นร้าย เป็นน่าชอบไม่น่าชัง เป็นน่าชังไม่น่าชอบ ไม่น่าใช่ อะไรอย่างนี้

มันก็คลายออก ...ทีนี้พอมันคลายออก มันไม่ได้คลายออกแค่ไอ้อาการของจิต  มันคลาย มันคลายไปจนถึงโคตรเหง้าคือต้นตอที่ให้เกิดความปรุงแต่ง..คืออวิชชา  

มันก็ลบๆๆ ด้วยอำนาจของศีลสมาธิปัญญาที่เจริญจากจิตหนึ่งนี่ ...พอถึงวาระหนึ่ง เป็นสมุจเฉทหนึ่ง...ปุ๊บนี่ มันก็เข้าไปเผยใจให้เห็นขึ้นมา สว่าง เหมือนกับสว่างแจ้งสามโลกธาตุขึ้นมา ปึ้บแล้วก็พรึ่บถูกคลุม 

ถึงบอกว่าในผู้ปฏิบัตินี่ จะเห็นใจ ๔ ครั้ง เรียกว่ามรรคญาณ มรรคจิต จะเกิด ๔ ครั้ง ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ...แต่ตามความเป็นจริงน่ะ ๔ ครั้ง บอกให้เลย ...พอครั้งสุดท้ายแล้ว ปึ้ง...จบ ครั้งที่ ๔ 

แต่พวกเราอย่าไปหา อย่าไปจำนะคำพูด เดี๋ยวก็ไปหาใจอีก อันนั้นรึเปล่า อันนี้รึเปล่า ไม่ต้องอ่ะ ...ทำหน้าที่สร้างดวงจิตผู้รู้ เอาจิตผู้รู้นั่นน่ะถือเป็นใจไว้ก่อน เข้าใจป่าว

คือแบ่ง ...นั่นคือสังขารจิต แต่เป็นสังขารจิตที่ทำหน้าที่รู้และเห็น และอาการรู้และเห็นนี่มันทำให้เกิดปัญญา ...นี่ เกิดญาณทัสสนะ 

ไอ้ตัวญาณทัสสนะก็เกิดจากจิตผู้รู้ผู้เห็นนี่แหละ ไอ้จิตผู้รู้ผู้เห็นนี่มันก็เกิดญาณ ...เพราะนั้นไอ้ตัวญาณก็คือมันเนื่องจากการทำขึ้นมาของสติสมาธิ 

มันก็คือสังขารเหมือนกัน สมมุติเหมือนกัน ประกอบขึ้นมาเหมือนกัน ...แต่ว่ามันทำหน้าที่ในการทำความรู้แจ้งเห็นจริง เข้าใจสภาพที่แท้จริง

เพราะนั้นพอมันเข้าใจในขันธ์โดยตลอด ...สมมุติว่าญาณทัสสนะมันทำงานแบบเต็มสูบนะ ถ้ามันทำงานแบบเต็มสูบแล้ว...ขันธ์กูก็เข้าใจ เห็นหมดโดยที่ว่าทุกอณูขันธ์ 

ทุกอณูธาตุในขันธ์ ทุกนามธาตุ ทุกปรมาณูธาตุของนามธาตุ มันก็เห็น ...แล้วมันก็เห็นสรรพสิ่งโดยตีแผ่ โดยทั่ว โดยรวม โดยไม่มีคลาดเคลื่อน โดยไม่มีผิดพลาด โดยที่ไม่มีเล็ดหูลอดตาไปได้

พอมันเห็นโดยรอบโดยตลอดอย่างนี้แล้ว เห็นจนหมด ...ไอ้ตัวญาณ ไอ้ตัวทัสสนะตัวนี้ มันก็หมดหน้าที่ไปโดยปริยาย ...เพราะไม่มีอะไรจะรู้จะเห็นแล้ว มันหมดแล้ว 

ก็แล้วมันจะอยู่ให้หนักโลกหนักแผ่นดินทำไม มันก็ไม่ต้องอาศัยแล้ว อะไรที่มันไม่รู้...ไม่มีแล้ว อะไรที่มันไม่เห็น...ไม่มีแล้ว  ...นี่เขาเรียกว่า โลกวิทูน่ะ 

มันแจ้งโลกแจ้งธรรม ...แจ้งทั้งโลก แจ้งทั้งธรรม แจ้งทั้งรูป แจ้งทั้งนาม แจ้งทั้งส่วนที่จับต้องได้ แจ้งทั้งส่วนที่จับต้องไม่ได้ ...คือมันเห็นโดยที่ว่าไม่มีอะไรปิดบังครอบงำน่ะ 

พอเห็นหมด ตัวมันก็ไม่อยู่ให้หนักโลกหนักแผ่นดิน ศีลสมาธิปัญญามันก็หมดหน้าที่โดยปริยาย ...ทีนี้ก็เหลือแต่ของจริงล้วนๆ เลย ไม่มีอะไรแปลกปลอมเจือปน 

ขันธ์ก็เป็นขันธ์บริสุทธิ์ โลกก็เป็นโลกบริสุทธิ์ ธาตุอันบริสุทธิ์ ...ไม่เป็นกามธาตุ กามภพ อย่างที่มันเคยเป็นเคยว่าจากอำนาจของอวิชชา...โลกมันก็เป็นกามโลกไป ...มันก็เห็นเป็นวัตถุธาตุหรือว่าวิสุทธิธาตุ 

ธรรมที่มันเคยเห็นเป็นธรรมดีธรรมร้าย ธรรมถูกธรรมผิด ธรรมที่คลุมๆ เครือๆ ธรรมที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง ธรรมที่สูงธรรมที่ต่ำ ธรรมที่ละเอียด ธรรมที่หยาบ ...มันก็ไปเห็นธรรมอันเป็นวิสุทธิธรรม

พอถึงตรงนั้น ขันธ์ก็เป็นวิสุทธิขันธ์ โลกก็เป็นวิสุทธิธาตุ ธรรมก็เป็นวิสุทธิธรรม ใจก็เป็นวิสุทธิธาตุ ใจก็เป็นวิสุทธิจิต ...เนี่ย วิสุทธิ บริสุทธิ์หมดเลย 

ก็เกิดการเข้าสู่ความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง เรียกว่าความบริสุทธิ์ในที่สุด เนื่องด้วยศีลสมาธิปัญญานั่นเอง 

ถ้าไม่มีศีลสมาธิปัญญา มันไม่มีทางเข้าสู่ความบริสุทธิ์ได้เลย ...แล้วศีลสมาธิปัญญามันไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ เอง ...มันต้องทำ 

ใครว่ามันจะเกิดเอง ใครว่าอย่าเพียรเพ่ง ใครว่าปล่อยง่ายๆ สบายๆ แล้วมันจะเกิดความรู้ความเห็นขึ้น...ไม่มีอ่ะ ไม่มีๆ

ต้องคร่ำเคร่งเลย ต้องคร่ำเคร่ง ไม่ว่างไม่เว้น ...ไม่มีคำว่าว่าง ไม่มีคำว่าเว้น ไม่มีคำว่ารอ ไม่มีคำว่าหยุด ในการเจริญศีล สติ สมาธิ ปัญญา เลย

จนกว่า...อย่างที่เราบอกน่ะ  มันไม่มีอะไรที่มันไม่รู้ไม่เห็นแล้ว  เออ นั่นแหละท่านเรียกว่า ขีณา ชาติ วุสิตัง พฺรหฺมจะริยัง พรหมจรรย์จบสิ้น  วุสิตัง พฺรหฺมจะริยัง...พรหมจรรย์นั้นจบสิ้นตรงนั้น

แต่ถ้ายังไม่ถึงจุดนั้นน่ะ ศีลสมาธิปัญญาขาดไม่ได้ แม้แต่วินาที เสี้ยววินาทีหนึ่งเลย ...ต้องอยู่ด้วยศีลสมาธิปัญญาแบบเต็มบริบูรณ์ แบบอย่างยิ่งยวด

ไม่ใช่เป็นงานสำรอง ไม่ใช่เป็นงานเผื่อเลือก ไม่ใช่เป็นงานภายหลัง ไม่ใช่เป็นงานที่ใจดีค่อยทำ...ไม่ดีก็ไม่ทำ 

แต่นี่...ใจดีก็ต้องทำ ไม่ดีก็ต้องทำ  มีกิเลสก็ต้องทำ ไม่มีกิเลสก็ต้องทำ ...มันจะต้องอย่างนั้น ถึงเรียกว่าทุกลมหายใจเข้าออก

ครูบาอาจารย์ท่านพูด ทุกท่านทุกองค์ ไม่มีใครไม่พูดเรื่องว่า...ภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก ...ดูซิ ลองนึกดูว่าทุกลมหายใจเข้าออกนี่น่ะ 

ดูเหมือนเครียด ดูเหมือนเพ่งนะ ดูเหมือน...โอ้โฮ ทำไมมันถึงขนาดนั้นเชียว ...ก็มันต้องถึงขนาดนั้นน่ะ 

แต่ว่าการที่ทำไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ...โดยที่ว่าไม่ไปคาด ไม่ไปหวัง ไม่ไปว่าลำบากหรือไม่ลำบาก ...นี่ มันจะสะสมกำลังไปทีละเล็กทีละน้อย

และไอ้คำว่าทุกลมหายใจเข้าออกนี่ นึกแรกๆ ตอนที่เราอยู่ชั้นอนุบาลนี่แล้ว...เหมือนเรามองไปที่ตึกระฟ้าว่ากูจะเดินยังไงวะนี่ ลิฟท์ก็ไม่มี 

มันถึงได้น่ะ และง่ายด้วย ...มันไม่ได้ยากอย่างที่เคยนึกคิดโดยคาดเดาคาดคะเนว่า อู้หู มันจะถึงเร้อ มันจะได้เร้อ กำลังของเราแค่เนี้ย แค่รู้แค่นี้ นั่น

พอถึงจุดนั้นมันไปเองน่ะ ...โอ้โห ความมุ่งมั่นภายในนี่ ไม่มีคำว่าบิดพลิ้วคลาดเคลื่อนเลย ความตั้งมั่นอยู่กับศีลอยู่กับกาย อยู่กับปัจจุบันนี่ เรียกว่าไม่มีเล็ดไม่มีลอดเลย 

แล้วมันเป็นลักษณะที่เหมือนกับเป็นภูมิคุ้มกันในตัวของมันเองน่ะ ...เมื่อเรารักษาศีล ศีลก็รักษาเรา  เมื่อเรารักษาสมาธิ สมาธิก็จะรักษาเรา  เมื่อเรารักษาปัญญา ปัญญาก็จะรักษาเรา 

มันก็เป็นภูมิ ... มันก็...จะออกปุ๊บ...พั่บ ออกปุ๊บ...พั่บ ...นี่ อัตโนมัติ ไม่ใช่อัตโนมือ หรือแมนน่วล แรกๆ นี่กูแมน...แล้วก็น่วลอีกแล้ว ...ไปอีกแล้ว ไม่ทันซักที

แต่พอถึงจุดนั้นนี่ มันคุ้มครองเราแล้ว ศีลสมาธิปัญญานี่คุ้มครองนะ ...แต่ตอนนี้เราต้องสร้างกำลังของศีลสมาธิปัญญาให้มันมีอานิสงส์ จนมันคุ้มครองกายใจก่อน

อย่าท้อ อย่าล้า อย่าเบื่อ อย่าขี้เกียจ อย่ารอ ภาวนาแข่งกับชีวิตที่มันกำลังกระชากลงสู่กองฟืนกองฟอน กำลังอยู่กับขี้เถ้า นั่นแหละ กายมันเป็นขี้เถ้า ทุกวันอยู่กับกายที่จะเป็นขี้เถ้า รู้รึเปล่า

ให้มันรู้ซะบ้าง ...ไม่ได้อยู่แบบอนุสาวรีย์รูปปั้นนะ ที่มันอยู่ได้พันปีหมื่นปี...ไม่ใช่  อยู่กับขี้เถ้านะเนี่ย อีกไม่นานหรอก เหลือแต่ขี้เถ้าแล้วก้อนนี้ แล้วเราก็อยู่กับก้อนที่เป็นขี้เถ้า

ความตายนี่อยู่แค่ลมหายใจเข้าออก ...เหยียบบันได นึกว่ามีขั้นบันได ตกมาก็ตายแล้ว เห็นมั้ย ง่ายออก...ตายนี่ ...เดินไป เออ กำลังจะข้ามถนน โทรศัพท์เรียกมา เกิดรถชนปัง...ตาย 

นึกดูสิ ง่าย...ตายนี่ง่ายกว่าเกิดอีก ...เกิดยังยาก ต้องหลายขั้นตอน ต้องมีคนช่วยเยอะแยะกว่าจะออกมา ...ตายนี่ง่ายมากเลย แป๊บเดียว ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ตายซะแล้ว

เนี่ย เราอยู่ก้อนที่ไม่แน่ไม่นอน...ก้อนนี้ อย่านึกว่ามันสถาพร เสถียร เป็นอนุสาวรีย์ ที่มันสร้างรูปหล่อรูปปั้นกัน...ไม่ใช่ ไม่นานหรอก เปื่อยยุ่ยๆๆ อย่างนั้น


(ต่อแทร็ก 12/19  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น